คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สิ่งอำนวยความสะดวก

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2522/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายบ้าน สิ่งอำนวยความสะดวกไม่ครบถ้วน โจทก์ไม่ชำระเงิน - จำเลยไม่ผิดสัญญา
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดินในโครงการของจำเลยโดยตกลงชำระเงินดาวน์เป็นงวด และชำระเงินส่วนที่เหลือกับจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ภายในกำหนด หรือภายใน 15 วัน นับแต่วันที่จำเลยแจ้งให้ทราบ ในประกาศโฆษณาของจำเลยระบุว่า จะจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกได้แก่ ถนนคอนกรีต ไฟฟ้าน้ำประปา สนามเด็กเล่น โทรศัพท์สายตรงโทรศัพท์สาธารณะและยามรักษาความปลอดภัยโจทก์ชำระเงินดาวน์แก่จำเลยแล้ว ต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือและไปจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์รวม 2 ฉบับ โดยฉบับหลังระบุด้วยว่าหากโจทก์ไม่ชำระเงินภายในกำหนด ให้ถือว่าหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญา แต่โจทก์มิได้ชำระเงินส่วนที่เหลือภายในกำหนดเวลาที่จำเลยกำหนดทั้งสองครั้ง โดยโจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วนก่อน หรือให้จำเลยรับเงินส่วนที่เหลือโดยลดราคาลง แล้วจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินพิพาทแก่โจทก์ แสดงว่าขณะนั้นสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่ประกาศโฆษณา แม้ยังไม่ครบถ้วน แต่โจทก์ก็มิได้ถือเป็นสาระสำคัญจนถึงขนาดที่โจทก์ไม่อาจรับโอนกรรมสิทธิ์ในบ้านหรือต้องลดราคาลงทั้งปรากฏว่า จำเลยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตามที่ประกาศโฆษณามาเป็นลำดับ และภายหลังจำเลยแจ้งให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือนานปีเศษ สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเลยยังมิได้จัดให้มีตามประกาศโฆษณาคงมีเพียงโทรศัพท์สาธารณะกับสนามเด็กเล่นซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการเท่านั้น นอกจากนี้ในเวลาที่มีการนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินพิพาทโจทก์ยังไม่มีความพร้อมด้านการเงิน เมื่อโจทก์มิได้ชำระราคาส่วนที่เหลือตามที่ตกลงกัน การที่จำเลยไม่จดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินพิพาทแก่โจทก์จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาย่อมมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2522/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายบ้านพร้อมที่ดิน: จำเลยไม่ต้องรับผิดสัญญา หากโจทก์ไม่ชำระเงิน แม้สิ่งอำนวยความสะดวกไม่ครบถ้วน
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดินในโครงการของจำเลยโดยตกลงชำระเงินดาวน์เป็นงวด และชำระเงินส่วนที่เหลือกับจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ภายในกำหนด หรือภายใน 15 วันนับแต่วันที่จำเลยแจ้งให้ทราบ ในประกาศโฆษณาของจำเลยระบุว่าจะจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกได้แก่ ถนนคอนกรีต ไฟฟ้า น้ำประปาสนามเด็กเล่น โทรศัพท์สายตรง โทรศัพท์สาธารณะและยามรักษาความปลอดภัย โจทก์ชำระเงินดาวน์แก่จำเลยแล้ว ต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือและไปจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์รวม2 ฉบับ โดยฉบับหลังระบุด้วยว่าหากโจทก์ไม่ชำระเงินภายในกำหนดให้ถือว่าหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญา แต่โจทก์มิได้ชำระเงินส่วนที่เหลือภายในกำหนดเวลาที่จำเลยกำหนดทั้งสองครั้ง โดยโจทก์มิได้แจ้งให้จำเลยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วนก่อนหรือให้จำเลยรับเงินส่วนที่เหลือโดยลดราคาลง แล้วจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินพิพาทแก่โจทก์ แสดงว่าขณะนั้นสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่ประกาศโฆษณา แม้ยังไม่ครบถ้วน แต่โจทก์ก็มิได้ถือเป็นสาระสำคัญจนถึงขนาดที่โจทก์ไม่อาจรับโอนกรรมสิทธิ์ในบ้านหรือต้องลดราคาลงทั้งปรากฏว่า จำเลยจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตามที่ประกาศโฆษณามาเป็นลำดับ และภายหลังจำเลยแจ้งให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่เหลือนานปีเศษ สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเลยยังมิได้จัดให้มีตามประกาศโฆษณาคงมีเพียงโทรศัพท์สาธารณะกับสนามเด็กเล่นซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการเท่านั้น นอกจากนี้ในเวลาที่มีการนัดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินพิพาทโจทก์ยังไม่มีความพร้อมด้านการเงินเมื่อโจทก์มิได้ชำระราคาส่วนที่เหลือตามที่ตกลงกัน การที่จำเลยไม่จดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินพิพาทแก่โจทก์จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาย่อมมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5093/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาซื้อขายห้องชุดเนื่องจากจำเลยไม่สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกตามสัญญา และสิทธิในการเรียกเงินคืน
โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยมีหนังสือให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดตามสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์ไปตรวจสอบสภาพการก่อสร้างตามโครงการแล้ว ปรากฏว่าจำเลยยังไม่ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่โฆษณาไว้กล่าวคือ ยังไม่ได้ติดตั้งโทรศัพท์สายตรงที่ห้องชุด ระบบโทรทัศน์วงจรปิด เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง และสระว่ายน้ำ โจทก์ให้จำเลยดำเนินการจัดสร้างให้ครบถ้วนโดยเร็ว แต่จำเลยเพิกเฉย ถือว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์จึงให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญา จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์ดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยรับในข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้โฆษณาไว้ตามฟ้องโจทก์ ซึ่งเป็นไปตาม ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสอง
การที่จำเลยมีหนังสือให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพร้อมทั้งชำระราคาส่วนที่เหลือตามสัญญาในขณะที่จำเลยยังไม่อยู่ในฐานะที่จะเรียกโจทก์มารับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดตามสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่รับโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดตามที่จำเลยเสนอและไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือได้ โจทก์จึงไม่ใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยดำเนินการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่โฆษณาให้แล้วเสร็จก่อน แล้วโจทก์พร้อมที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพร้อมชำระราคาส่วนที่เหลือตามสัญญา แต่ระยะเวลาผ่านไปนานถึง 2 ปี จำเลยก็มิได้ดำเนินการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วนตามที่โฆษณาไว้ ถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ชอบที่จะบอกเลิกสัญญาได้ และคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำและเงินที่โจทก์ผ่อนชำระแก่จำเลยไว้พร้อมดอกเบี้ย ทั้งนี้เป็นไปตามป.พ.พ.มาตรา 369, 387 และ 391 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง
เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะเรียกเงินมัดจำและเงินที่ผ่อนชำระคืนเกิดขึ้นเมื่อได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยคือวันอันเป็นวันที่จำเลยรับหนังสือบอกเลิกสัญญาจากโจทก์ อายุความจึงเริ่มนับแต่วันดังกล่าวซึ่งเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ในอาคารชุดของจำเลยให้แก่บริษัท ส. โดยกล่าวอ้างว่า จำเลยโอนอาคารชุดของจำเลยให้แก่บริษัท ส. ทำให้จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดเหลืออยู่พอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ในอันที่จะบังคับให้จำเลยชำระหนี้เงินมัดจำและเงินผ่อนชำระคืนแก่โจทก์ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินมัดจำและเงินผ่อนชำระคืนแก่โจทก์ จึงเป็นกรณีคนละเรื่องกัน แม้โจทก์ฟ้องคดีทั้งสองสำนวนโดยอาศัยมูลคดีที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อขายอาคารชุดและโจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้วอย่างเดียวกัน แต่คดีก่อนโจทก์ยังต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยโอนอาคารชุดให้แก่ผู้อื่นทำให้จำเลยไม่มีทรัพย์อื่นเหลือพอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ทำให้โจทก์เสียเปรียบไม่อาจบังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ได้ อันเป็นข้อสำคัญในคดีที่แตกต่างไปจากคดีนี้ คดีทั้งสองสำนวนของโจทก์จึงไม่เป็นการฟ้องซ้อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5093/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายอาคารชุด: จำเลยผิดสัญญาเนื่องจากไม่สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่โฆษณา ทำให้โจทก์บอกเลิกสัญญาได้
โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยมีหนังสือให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดตามสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์ไปตรวจสอบสภาพการก่อสร้างตามโครงการแล้ว ปรากฏว่าจำเลยยังไม่ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่โฆษณาไว้กล่าวคือ ยังไม่ได้ติดตั้งโทรศัพท์สายตรงที่ห้องชุด ระบบโทรทัศน์วงจรปิดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง และสระว่ายน้ำ โจทก์ให้จำเลยดำเนินการจัดสร้างให้ครบถ้วนโดยเร็ว แต่จำเลยเพิกเฉยถือว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์จึงให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญา จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์ดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยรับในข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้โฆษณาไว้ตามฟ้องโจทก์ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง การที่จำเลยมีหนังสือให้โจทก์ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพร้อมทั้งชำระราคาส่วนที่เหลือตามสัญญาในขณะที่จำเลยยังไม่อยู่ในฐานะที่จะเรียกโจทก์มารับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดตามสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่รับโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดตามที่จำเลยเสนอและไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือได้ โจทก์จึงไม่ใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยดำเนินการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่โฆษณาให้แล้วเสร็จก่อน แล้วโจทก์พร้อมที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดพร้อมชำระราคาส่วนที่เหลือตามสัญญาแต่ระยะเวลาผ่านไปนานถึง 2 ปี จำเลยก็มิได้ดำเนินการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วนตามที่โฆษณาไว้ ถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ชอบที่จะบอกเลิกสัญญาได้และคู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำและเงินที่โจทก์ผ่อนชำระแก่จำเลยไว้พร้อมดอกเบี้ย ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369,387 และ 391 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะเรียกเงินมัดจำและเงินที่ผ่อนชำระคืนเกิดขึ้นเมื่อได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยคือวันอันเป็นวันที่จำเลยรับหนังสือบอกเลิกสัญญาจากโจทก์ อายุความจึงเริ่มนับแต่วันดังกล่าวซึ่งเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ในอาคารชุดของจำเลยให้แก่บริษัท ส. โดยกล่าวอ้างว่าจำเลยโอนอาคารชุดของจำเลยให้แก่บริษัท ส. ทำให้จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดเหลืออยู่พอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ในอันที่จะบังคับให้จำเลยชำระหนี้เงินมัดจำและเงินผ่อนชำระคืนแก่โจทก์ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินมัดจำและเงินผ่อนชำระคืนแก่โจทก์จึงเป็นกรณีคนละเรื่องกัน แม้โจทก์ฟ้องคดีทั้งสองสำนวนโดยอาศัยมูลคดีที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายอาคารชุดและโจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้วอย่างเดียวกัน แต่คดีก่อนโจทก์ยังต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยโอนอาคารชุดให้แก่ผู้อื่นทำให้จำเลยไม่มีทรัพย์อื่นเหลือพอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ ทำให้โจทก์เสียเปรียบไม่อาจบังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ได้ อันเป็นข้อสำคัญในคดีที่แตกต่างไปจากคดีนี้ คดีทั้งสองสำนวนของโจทก์จึงไม่ เป็นการฟ้องซ้อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 648/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการใช้ที่ดินของผู้อื่นเพื่อวางสิ่งอำนวยความสะดวก ต้องเสนอค่าทดแทนตามสมควร มิฉะนั้นไม่มีสิทธิ
จำเลยเจ้าของที่ดินจะต้องยอมให้โจทก์ปักเสาและพาดสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของตนต่อเมื่อได้รับค่าทดแทนตามสมควรแล้ว เมื่อโจทก์ไม่ได้เสนอค่าทดแทนให้จำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิกระทำดังกล่าวได้ และคดีไม่มีประเด็นเรื่องค่าทดแทน การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้โจทก์ชำระค่าตอบแทนแก่จำเลย จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น