พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2419/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากการไม่จัดหาสัตวแพทย์ตรวจเนื้อสัตว์, ความรับผิดของโรงฆ่าสัตว์, ส่วนละเลยของโจทก์
โจทก์ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ฟ้องเรียกค่าเสียหายรวมกันมาเป็นคดีเดียวกัน แต่โจทก์ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8เป็นคู่สัญญาการฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ของเทศบาลเมืองจำเลยที่ 1 ตามสัญญาคนละฉบับและได้รับอนุญาตให้ฆ่าสุกรแยกต่างหากจากกัน จึงเป็นกรณีที่โจทก์แต่ละคนต่างมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้โดยลำพังตนเอง แม้โจทก์ทั้งสามจะฟ้องรวมกันมาเป็นคดีเดียวกัน แต่การพิจารณาถึงสิทธิในการฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ต้องพิจารณาตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้อง เทศบาลเมืองจำเลยที่ 1 มีหน้าที่จัดให้มีโรงฆ่าสัตว์และต้องดูแลควบคุมให้การดำเนินการเป็นไปโดยถูกต้องเรียบร้อยตามระเบียบที่วางไว้จำเลยที่ 1 ได้ออกอาชญาบัตรให้แก่โจทก์ที่ 3 เพื่อฆ่าสุกรในโรงฆ่าสัตว์ของจำเลยที่ 1และชำแหละเนื้อสุกรนำออกจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไปตามสัญญาที่ทำไว้ วันเกิดเหตุไม่มีสัตว์แพทย์และเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 มาตรวจ และตีประทับตราเนื้อสุกรชำแหละเพื่ออนุญาตให้นำออกไปจำหน่ายได้ตามปกติ โดยสัตวแพทย์มาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละและเจ้าหน้าที่มาตีประทับตราเนื้อสุกรชำแหละให้นำออกจากโรงฆ่าสัตว์ได้ในเวลาประมาณ10 นาฬิกา ต่อมาเนื้อสุกรชำแหละเน่าเสียหาย จำเลยที่ 1มีหน้าที่ต้องจัดหาสัตวแพทย์มาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละก่อนที่จะให้โจทก์ที่ 3 นำออกไปจำหน่าย ซึ่งการตรวจจะต้องกระทำภายในช่วงเวลาการฆ่าและชำแหละสุกรคือระหว่างเวลา 00.01 นาฬิกา ถึง 8 นาฬิกา แม้ว่าในสัญญาฆ่าสุกรจะไม่ระบุว่าสัตวแพทย์จะต้องมาทำการตรวจเนื้อสุกรชำแหละเวลาใดก็ตาม แต่ก็เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1จะต้องจัดให้มีสัตวแพทย์มาปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาดังกล่าวการที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นสัตวแพทย์เพิ่มมาตรวจ และ มี การตีประทับตราให้นำเนื้อสุกรชำแหละออกจากโรงฆ่าสัตว์ได้ในเวลาประมาณ 10 นาฬิกา จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1มิได้จัดหาสัตวแพทย์มาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการละเลยประมาทเลินเล่ออันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 3 ขณะที่สัตวแพทย์จำเลยที่ 3 ตรวจเนื้อสุกรชำแหละและเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตีประทับตรานั้นเนื้อสุกรชำแหละยังสามารถจะนำไปจำหน่ายได้แต่ก็เป็นเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ซึ่งจะเลิกขายเนื้อสุกรชำแหละแล้ว โดยเริ่มขายตั้งแต่เวลา 2 หรือ 3 นาฬิกาไปจนถึง 10 นาฬิกา หากโจทก์ที่ 3 จะนำเนื้อสุกรชำแหละไปขายก็คงขายได้ไม่มากนัก เพราะใกล้จะหมดเวลาที่ประชาชน จะมาซื้อตามที่เคยปฏิบัติมาเสียแล้ว ดังนั้น ความเสียหาย ที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ที่ 3 แต่ฝ่ายเดียว เพียงถือได้ว่าโจทก์ที่ 3 มีส่วนละเลยไม่บำบัดปัดป้อง หรือบรรเทาความเสียหายนั้นด้วย โดยไม่นำเนื้อสุกรชำแหละที่ผ่านการตรวจจากจำเลยที่ 3 และตีประทับตราแล้วออกจำหน่าย ทั้ง ๆ ที่อยู่ในช่วงเวลาที่จะสามารถจำหน่ายได้บ้าง ศาลจึงกำหนดให้จำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 3 เพียงครึ่งหนึ่งของค่าเสียหาย ที่โจทก์ที่ 3 ได้รับ