พบผลลัพธ์ทั้งหมด 13 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8160/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจำนองครอบคลุมหนี้ทั้งหมดของผู้จำนองร่วม แม้จะชำระหนี้บางส่วนแล้ว หากยังมีหนี้ค้างอยู่ จำนองยังไม่ระงับ
โจทก์และ ศ. ร่วมกันทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลยโดยโจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินของโจทก์ไว้กับจำเลยเพื่อประกันหนี้โดยสัญญาจำนองระบุว่า โจทก์ตกลงจำนองที่ดินทั้งแปลงเพื่อประกันหนี้และภาระผูกพันใดๆ ของโจทก์และหรือ ศ. ที่มีต่อจำเลยผู้รับจำนอง ทั้งที่มีอยู่แล้วในขณะนี้และที่จะมีขึ้นในภายหน้าทุกลักษณะทุกประเภทหนี้ ดังนี้ เมื่อข้อพิพาทนี้เป็นเรื่องการบังคับตามสัญญาจำนองไม่ใช่ข้อพิพาทกันในเรื่องการชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จึงต้องพิจารณาบังคับตามสัญญาจำนองเป็นสำคัญ แม้โจทก์จะชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีให้แก่จำเลยจนครบถ้วนแล้ว แต่เมื่อ ศ. ยังคงเป็นหนี้จำเลยอยู่อีกและหนี้ของ ศ. เป็นหนี้ที่อยู่ในบังคับของสัญญาจำนองที่ดินที่โจทก์ทำกับจำเลย ภาระจำนองในที่ดินที่เป็นประกันจึงยังไม่ถูกล้างหรือระงับสิ้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3426/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันครอบคลุมหนี้ทั้งหมด, การหักทอนหนี้, และการอุทธรณ์นอกเหนือคำให้การ
แม้มีข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้โจทก์มีสิทธินำเงินตามบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 หักใช้หนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทที่ถึงกำหนดได้แต่บัญชีกระแสรายวันดังกล่าวไม่มีเงินในบัญชีที่จะหักมาชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีท การที่โจทก์เรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทโดยมิได้หักหนี้ จึงไม่ถือว่าโจทก์กระทำผิดข้อตกลงอันจะมีผลให้จำเลยที่ 1 อยู่ในฐานะเป็นผู้ไม่ผิดนัด โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทได้
ผลประโยชน์ที่โจทก์เรียกเก็บในอัตราร้อยละ 1/8 ต่อระยะเวลา 90 วัน นั้นคำนวณแล้วเท่ากับอัตราร้อยละ 0.125 ต่อระยะเวลา 90 วัน หรือร้อยละ 0.5 ต่อระยะเวลา 360 วัน จึงไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี และผลประโยชน์ที่โจทก์เรียกเก็บดังกล่าวก็ระบุว่าเป็นค่าธรรมเนียมมิใช่เรื่องดอกเบี้ย ข้อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับดอกเบี้ยจึงไม่ตกเป็นโมฆะ
สัญญาค้ำประกันระบุว่า เพื่อตอบแทนการที่โจทก์ได้ตกลงยินยอมให้ลูกหนี้(จำเลยที่ 1) ทำนิติกรรมอันเป็นมูลหนี้กับโจทก์ ไม่ว่าจะเป็นมูลหนี้ในนิติกรรมใด ๆ ที่มีอยู่ในขณะทำสัญญานี้หรือที่จะมีขึ้นในภายหน้า ผู้ค้ำประกัน (จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6)ยอมรับเป็นผู้ค้ำประกันและเป็นลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้ในการชำระหนี้ดังกล่าว ซึ่งข้อความดังกล่าวมีความหมายว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ค้ำประกันหนี้ทุกอย่างที่จำเลยที่ 1 มีอยู่แก่โจทก์ จึงต้องรับผิดตามสัญญาทรัสต์รีซีทร่วมกับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 โต้แย้งว่าคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากหนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดไม่ใช่หนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีท แต่เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าการที่โจทก์เรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทโดยไม่นำไปหักทอนเป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดไม่เป็นการปฏิบัติผิดสัญญา จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดตามสัญญาทรัสต์รีซีท ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ นอกจากนี้ข้ออ้างตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกก็เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่แตกต่างจากเหตุการณ์ที่อ้างไว้ในคำให้การ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มาตรา 38ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
ผลประโยชน์ที่โจทก์เรียกเก็บในอัตราร้อยละ 1/8 ต่อระยะเวลา 90 วัน นั้นคำนวณแล้วเท่ากับอัตราร้อยละ 0.125 ต่อระยะเวลา 90 วัน หรือร้อยละ 0.5 ต่อระยะเวลา 360 วัน จึงไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี และผลประโยชน์ที่โจทก์เรียกเก็บดังกล่าวก็ระบุว่าเป็นค่าธรรมเนียมมิใช่เรื่องดอกเบี้ย ข้อสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับดอกเบี้ยจึงไม่ตกเป็นโมฆะ
สัญญาค้ำประกันระบุว่า เพื่อตอบแทนการที่โจทก์ได้ตกลงยินยอมให้ลูกหนี้(จำเลยที่ 1) ทำนิติกรรมอันเป็นมูลหนี้กับโจทก์ ไม่ว่าจะเป็นมูลหนี้ในนิติกรรมใด ๆ ที่มีอยู่ในขณะทำสัญญานี้หรือที่จะมีขึ้นในภายหน้า ผู้ค้ำประกัน (จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6)ยอมรับเป็นผู้ค้ำประกันและเป็นลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้ในการชำระหนี้ดังกล่าว ซึ่งข้อความดังกล่าวมีความหมายว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ค้ำประกันหนี้ทุกอย่างที่จำเลยที่ 1 มีอยู่แก่โจทก์ จึงต้องรับผิดตามสัญญาทรัสต์รีซีทร่วมกับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 โต้แย้งว่าคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากหนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดไม่ใช่หนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีท แต่เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าการที่โจทก์เรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทโดยไม่นำไปหักทอนเป็นหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดไม่เป็นการปฏิบัติผิดสัญญา จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดตามสัญญาทรัสต์รีซีท ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ นอกจากนี้ข้ออ้างตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหกก็เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่แตกต่างจากเหตุการณ์ที่อ้างไว้ในคำให้การ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มาตรา 38ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4175/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการใช้หนี้แทนและการไถ่ถอนจำนอง: การชำระหนี้ทั้งหมดเพื่อไถ่ถอนทรัพย์สินจำนอง
เมื่อโจทก์อยู่ในฐานะผู้ที่จะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทซึ่งอาจจะต้องเสี่ยงภัยเสียสิทธิในการรับโอนหากปล่อยให้จำเลยเจ้าหนี้จำนองบังคับคดีโดยการขายทอดตลาดโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเข้าใช้หนี้จำเลยแทนผู้จำนองได้ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา230 หนี้จำนองย่อมครอบไปถึงบรรดาทรัพย์สินที่จำนองทุกสิ่งแม้จะได้ชำระหนี้ไปแล้วบางส่วนตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา716แม้จะมีการไถ่ถอนทรัพย์สินซึ่งจำนองไปบางส่วนแล้วก็ตามทรัพย์สินจำนองที่เหลืออยู่จะต้องเป็นประกันการชำระหนี้ทั้งจำนวนตามสิทธิของสัญญาจำนองเมื่อได้ความว่าหนี้จำนองที่บริษัทส.มีต่อจำเลยจำนวน5,396,629.37บาทแต่มีที่พิพาทเป็นทรัพย์จำนองเพียงแปลงเดียวโจทก์ผู้รับโอนที่พิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยรับชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองเพียงจำนวน386,784.60บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6030/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาชำระหนี้ทั้งหมดแทนลูกหนี้ แม้มีข้อความอ้างอิงหนี้เดิม ย่อมไม่จำกัดความรับผิดเฉพาะวงเงินค้ำประกัน
แม้ข้อความตอนต้นในหนังสือแสดงเจตนาชำระหนี้แทน ก. จะกล่าวเท้าความถึงหนี้ของ ก. ที่โจทก์ค้ำประกันว่า เป็นหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี และหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน แต่ตอนต่อมาโจทก์ได้ตกลงยินยอมชำระหนี้ที่ ก.มีต่อจำเลยที่ 1 ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังยินยอมให้จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนพันธบัตรที่โจทก์มอบให้จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้นำเงินมาชำระหนี้ของ ก. ทั้งหมด โดยมิได้กำหนดเงื่อนไขความรับผิดไว้ ทั้ง ๆ ที่โจทก์ทราบแล้วว่าขณะนั้น ก. เป็นหนี้จำเลยที่ 1 เกินวงเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี กรณีจึงต้องถือว่าโจทก์ประสงค์จะชำระหนี้ของ ก. ที่มีต่อจำเลยที่ 1 โดยสิ้นเชิง หาใช่ยอมรับผิดเพียงไม่เกินวงเงินตามสัญญาค้ำประกันไม่
แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์จะเบิกความว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือแสดงเจตนาชำระหนี้แทน ก. โดยสำคัญผิด แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวมิได้เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี เป็นเรื่องนอกประเด็น ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขี้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์จะเบิกความว่า โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือแสดงเจตนาชำระหนี้แทน ก. โดยสำคัญผิด แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวมิได้เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี เป็นเรื่องนอกประเด็น ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขี้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5952/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้บางส่วนไม่ครบถ้วนและการคิดดอกเบี้ย: โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากยอดหนี้ทั้งหมด แม้จำเลยจะเสนอชำระบางส่วน
จำเลยทั้งสองค้างชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ 161,973.60 บาท หนี้ครบกำหนดชำระแล้ว จำเลยที่ 1 จะบังคับให้โจทก์รับชำระหนี้แต่เพียงบางส่วน 65,331 บาท ไม่ได้ การที่โจทก์ไม่ยอมรับชำระจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ผิดนัด โจทก์คงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในต้น เงิน 65,331 บาท จากจำเลยทั้งสองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2217/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลูกหนี้ร่วมต้องรับผิดชอบหนี้ส่วนตนจนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมด หรือจนกว่าเจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน
หนี้ตามคำพิพากษาที่ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ โดยจำกัดวงเงินให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดนั้น จำเลยที่ 3 ต้องผูกพันชำระหนี้ในส่วนที่ตนต้องรับผิดจนกว่าจะชำระหนี้ส่วนที่ต้องรับผิดจนครบหรือจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วเมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ชำระหนี้ส่วนที่ตนต้องรับผิดยังไม่ครบและโจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้เสร็จสิ้น จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมจึงต้องชำระหนี้ในส่วนที่ตนยังต้องรับผิด ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2208/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาผ่อนชำระ แม้ยังไม่ถึงกำหนดหนี้รายงวด โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกหนี้ทั้งหมดได้
แม้จำเลยตกลง กำหนดเวลาชำระหนี้เป็น 2 งวด แต่ ก็มิได้แยกหนี้ออกเป็นรายต่างหากจากกัน เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลาตกลง ไว้ แม้แต่ เพียงงวดแรก จำเลยก็ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ตาม บันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้ทั้งหมด ดังนี้ โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกหนี้ตาม งวดที่สองได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1303/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับหนี้จากการชำระหนี้บางส่วน (สินค้าถังแก๊สเปล่า) ไม่ครอบคลุมหนี้ทั้งหมด (สินค้าวาล์วถังแก๊ส) และการบังคับจำนำ
จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ 2 รายการ คือ หนี้ตามสัญญารับฝากและจำนำสินค้าถังแก๊สเปล่า กับหนี้ตาม สัญญารับฝากและจำนำสินค้าวาล์ว ถังแก๊ส ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ ทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ได้ ตกลง ให้โจทก์ขายถังแก๊สรวม 1064 ท่อโดย ให้โจทก์ยกหนี้ค้างชำระหมดไป และจำเลยที่ 1 จะเอาเงินมาไถ่ถอนวาล์ว ถังแก๊ส 60 หีบ เป็นเงิน 272,701 บาท โดย โจทก์จะไม่คิดค่าดอกเบี้ย และค่ารักษา การที่บันทึกข้อตกลงการชำระหนี้ได้ แยกหนี้สินของจำเลยที่ 1 เป็น 2 รายการโดย ชัดแจ้งแยกต่างหากจากกันเช่นนี้ ถือ ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่มีเงื่อนไขการชำระหนี้ เมื่อโจทก์ยอมรับเอาสินค้าถังแก๊สเปล่าไปขายเป็นการชำระหนี้ หนี้เฉพาะ รายการนี้ย่อมเป็นอันระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคแรก แต่ หาทำให้หนี้ตาม สัญญารับฝากและจำนำสินค้าวาล์ว ถังแก๊สระงับไปด้วย แต่ อย่างใดไม่ ถ้าหากคู่กรณีมีเจตนาจะให้หนี้ทั้งสองรายการระงับไปด้วย กันแล้ว ก็ไม่น่าจะมีการแยกประเภทหนี้สินค่าถังแก๊สเปล่าไว้ส่วนหนึ่ง และหนี้สินค้าวาล์ว ถังแก๊สไว้อีกส่วนหนึ่ง เมื่อจำเลยยังมิได้นำเงินมาไถ่ถอนวาล์ว ถังแก๊ส หนี้สินค้าวาล์ว ถังแก๊สจึงยังไม่ระงับสิ้นไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3027/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้เพียงงวดเดียว ถือผิดนัดทั้งหมด โจทก์มีสิทธิบังคับชำระหนี้ได้
จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นงวด แม้ไม่ได้ระบุว่าผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดโจทก์ฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ได้ก็ตามแต่เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามเวลาที่ตกลงกันไว้แม้แต่งวดหนึ่งงวดใด ก็ตกเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญายอมทั้งหมด หาใช่ผิดนัดแต่เฉพาะงวดไม่ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดได้ (โปรดดูคำพิพากษาฎีกาที่ 521/2510 ประชุมใหญ่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1918/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้กับการฟ้องชำระหนี้ทั้งหมด: ข้อตกลงที่ไม่ครอบคลุมหนี้ทั้งหมดไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยเป็นหนี้ค่าสินค้าโจทก์ 45,400 บาท ต่อมาได้มีการตกลงกันที่สถานีตำรวจโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจบันทึกไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีว่าจำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ 29,609 บาท และจะผ่อนชำระให้แก่โจทก์เดือนละ1,000 บาท ส่วนอีก 15,791 บาท จำเลยจะตกลงกันเองกับโจทก์ต่อไป บันทึกดังกล่าวไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความเพราะจำเลยยอมรับผิดเพียง 29,609บาทส่วนอีก 15,791 บาท จะได้ไปตกลงกันเองข้อพิพาทในเรื่องหนี้สินระหว่างโจทก์จำเลยจึงยังคงมีอยู่หาได้ระงับไปไม่ แต่เป็นเพียงหนังสือรับสภาพหนี้และข้อสัญญาของจำเลยฝ่ายเดียวที่จะผ่อนชำระหนี้สำหรับเงินจำนวน29,609 บาท ให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยผิดสัญญาโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดในคราวเดียวกันได้