พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3893/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาทที่ออกภายใต้ข้อตกลงประนีประนอมยอมความที่มีมูลหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
เช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยทั้งสองออกให้โจทก์พร้อมกับเช็คฉบับอื่นอีก 37 ฉบับ ในการตกลงประนีประนอมยอมความกันตามหนังสือรับสภาพหนี้ อันมีมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายรวมอยู่ด้วย ดังนี้แม้เช็คพิพาทจะออกให้เพื่อชำระค่าใช้จ่าย ค่าเสียหาย ค่าทนายความแก่โจทก์ แต่ก็เป็นเช็คที่สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ที่เกี่ยวเนื่องกับหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าว หาใช่เป็นเช็คคนละส่วนคนละตอนกับมูลหนี้ตามเช็คทั้ง 37 ฉบับไม่ เมื่อหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้มีมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายรวมอยู่ด้วย หนี้ตามเช็คพิพาทซึ่งเป็นหนี้เกี่ยวเนื่องกันย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วยกรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4118/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาถึงที่สุดผูกพันคู่ความในคดีล้มละลาย แม้จำเลยอ้างหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้อสันนิษฐานหนี้สินล้นพ้นตัวมีผล
เมื่อมีคำพิพากษาให้จำเลยร่วมรับผิดชำระหนี้ 1,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย คดีถึงที่สุด คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายจำเลยจะโต้เถียงว่าไม่ได้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่ ต้องถือว่าเป็นหนี้ที่แท้จริงและถูกต้อง เมื่อไม่สามารถบังคับคดีเนื่องจากสืบหาทรัพย์สินของจำเลยไม่พบ และโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ไม่น้อยกว่าสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า30 วัน จำเลยไม่ชำระจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว เมื่อจำเลยไม่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่า 50,000 บาทเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอนและจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งไม่มีเหตุอื่นที่ไม่สมควรให้จำเลยล้มละลาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10852/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายบ้านเป็นโมฆะจากดอกเบี้ยเกินอัตรากฎหมาย ทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิขับไล่จำเลย
จำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน 350,000 บาท และค้างชำระดอกเบี้ยโจทก์ต่อมาสามีจำเลยได้ทำสัญญาขายบ้านพิพาทให้โจทก์ในราคา 590,000 บาท โดยมีการโอนหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระโจทก์จำนวน 590,000 บาท แทนการชำระราคาบ้าน เมื่อพิจารณาดอกเบี้ยเงินกู้ที่จำเลยค้างชำระโจทก์แล้วนำมารวมกับต้นเงินกู้เป็นเงินที่ชำระราคาซื้อขายบ้านพิพาทนั้น เป็นการคิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราที่เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี เป็นดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ฯ มาตรา 3 ประกอบ ป.พ.พ. มาตรา 654 ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ สัญญาซื้อขายบ้านพิพาทจึงเกิดจากหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ราคาบ้านพิพาทที่กำหนดในสัญญาจะรวมเอาต้นเงินกู้ที่โจทก์มีสิทธิได้รับไว้ด้วยก็ตาม แต่โจทก์และสามีจำเลยมิได้มีเจตนาจะแบ่งแยกซื้อขายบ้านบางส่วนในราคาต้นเงิน 350,000 บาท ที่จำเลยค้างชำระอยู่ สัญญาซื้อขายบ้านพิพาทระหว่างโจทก์กับสามีจำเลยย่อมเป็นโมฆะทั้งฉบับตาม ป.พ.พ. มาตรา 173 โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทไม่ได้