พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3748/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีทุจริตโครงการสร้างงานฯ เหตุไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง และไม่มีหน้าที่รับผิดชอบโครงการ
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ลงวันที่ 24 กันยายน 2514 ข้อ 10 ทวิ กำหนดให้โจทก์มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการทางการเมือง หาได้กำหนดให้โจทก์มีหน้าที่เกี่ยวกับโครงการสร้างงานในชนบทไม่ และตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยโครงการสร้างงานในชนบท พ.ศ.2425 ข้อ 6 วรรคสอง ซึ่งกำหนดว่า "ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการ กสช." ก็หมายถึงให้โจทก์ทำหน้าที่ในด้านธุรการเกี่ยวกับโครงการสร้างงานในชนบทเท่านั้น หาได้กำหนดให้โจทก์มีหน้าที่รับผิดชอบหรือควบคุมการดำเนินการตามโครงการสร้างงานในชนบทไม่ และตามระเบียบฯ ดังกล่าวข้อ 40 ยังได้กำหนดว่า หากมีข้อร้องเรียนหรือพฤติการณ์ที่แสดงว่ามีการทุจริตหรือมีการปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการสอบสวนเพื่อทราบข้อเท็จจริง แล้วรายงานประธาน กสช. ทราบโดยเร็ว ไม่ได้กำหนดให้รายงานให้โจทก์ทราบแต่อย่างใด ทั้งเงินที่ถูกทุจริตละเมิดเอาไปไม่ใช่เงินที่อยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้องของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้มีผลถึงจำเลยที่ขาดนัดยื่อคำให้การและขาดนัดพิจารณาได้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คู่สัญญาต้องผูกพันตามสัญญาเมื่อมีการชำระหนี้ตามข้อตกลง แม้จะอ้างว่าไม่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง
โจทก์ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ตกลงทำสัญญากัน โดยจำเลยที่ 2 เช่าภาพยนตร์จากจำเลยที่ 1 ในราคา 450,000 บาท และชำระค่าเช่า 50,000 บาท ให้จำเลยที่ 1 ไปในวันทำสัญญา ส่วนที่เหลือ 400,000 บาท ตกลงกันให้จำเลยที่ 2 จ่ายเงินจำนวน 100,000 บาท กับเช็คเงินสดล่วงหน้างวดละ 60,000 บาท ต่อหนึ่งเดือนรวม 5 งวดให้แก่โ จ. ซึ่งเป็นคนกลางนำไปให้โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ ดังนี้ตามสัญญาดังกล่าว โจทก์ย่อมมิใช่บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 หากแต่เป็นคู่สัญญาด้วย เพราะมีการตกลงกันถึงการชำระหนี้จำนวน 400,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ โจทก์จึงต้องถูกผูกมัดตามเนื้อความในสัญญานี้ โจทก์อ้างว่าตนไม่มีหน้าที่หรือความรับผิดใด ๆ ที่จะเกี่ยวข้องด้วย คงมีแต่สิทธิที่จะได้รับชำระเงินจากจำเลยที่ 2 แต่เพียงถ่ายเดียวหาได้ไม่ และเมื่อตามสัญญา จำเลยที่ 2 จะต้องจ่ายเงินค่าเช่าให้ จ. เพื่อนำไปชำระหนี้ให้โจทก์ ก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบฟิล์มภาพยนตร์ให้จำเลยที่ 2 เป็นการตอบแทน แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ส่งมอบฟิล์มภาพยนตร์ให้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ภายในกำหนดตามสัญญา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ได้ตามมาตรา 369
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1463/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์เมื่อไม่ใช่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบทรัพย์สิน
จำเลยเป็นเสมียนกรมรถไฟประจำสถานีหนึ่งมีหน้าที่ขายตั๋วรถไฟให้ผู้โดยสาร จำเลยใช้ตั๋วของกรมรถไฟซึ่งได้สูญหายไปในระหว่างทางและไม่ได้อยู่ในบัญชีสถานีที่จำเลยประจำอยู่ มาเขียนกรอกข้อความลงไปแล้วปลอมขายว่าเป็นตั๋วรถไฟที่แท้จริงให้แก่ผู้ซื้อไป ดังนี้ เงินที่จำเลยขายตั๋วปลอมได้มา จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องส่งให้นายสถานีนั้นจำเลยเอาเงินนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย จำเลยจึงไม่มีผิดฐานยักยอกตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131 หรือ 319
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10757/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีกู้ยืมเงินของผู้ดูแลเงินฝากกลุ่มออมทรัพย์ แม้เงินไม่ใช่ของตนเอง
สัญญากู้ยืมเงินเป็นแบบฟอร์มหนังสือสัญญากู้ยืมเงินของสมาคมกลุ่มออมทรัพย์ และโจทก์ลงลายมือชื่อในช่องประธานคณะกรรมการอำนวยการ (ผู้ให้กู้ยืม) แสดงให้เห็นว่าเงินที่กู้ยืมกันไม่ใช่เงินส่วนตัวของโจทก์ เมื่อโจทก์เป็นผู้ดูแลรักษาเงินที่สมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ฝากไว้เพราะโจทก์มีฐานะเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการหรือประธานที่ปรึกษากลุ่มออมทรัพย์ โจทก์จึงเข้าครอบครองเงินนั้นมีหน้าที่ส่งคืนเงินจำนวนเดียวกันกับที่กลุ่มออมทรัพย์รับฝากไว้แก่ผู้ฝากให้ครบจำนวน เมื่อโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินที่รับฝากนี้แม้ไม่ใช่ของโจทก์ไป โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยผู้กู้ยืมชำระเงินคืนได้โดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้ใดก่อนเพราะเป็นการฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิของตนเองตามสัญญากู้ยืม ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โดยตรง แม้ ก. กู้ยืมเงินโจทก์นำมาใช้เพื่อกิจการของศูนย์สาธิตการตลาดของหมู่บ้านซึ่ง ก. เป็นประธานศูนย์มิใช่การกู้ยืมเงินเพื่อประโยชน์ส่วนตัวก็ตาม ศูนย์สาธิตการตลาดไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่อาจรับผิดทางแพ่งต่อผู้ใดตามกฎหมายได้ ดังนี้ ผู้กู้ยืมต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืมเป็นส่วนตัว โจทก์มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2566
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาท: การพิสูจน์ข้อเท็จจริงและหน้าที่รับผิดชอบของจำเลย
แม้คดีนี้ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาเองและไม่ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาในส่วนแพ่งก็ตาม แต่เมื่อคดีส่วนนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา และคดีส่วนอาญาขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์จึงไม่จำต้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาในส่วนแพ่ง เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสี่ไม่มีความผิดตามฟ้อง จำเลยทั้งสี่จึงไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์