พบผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7310/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ พ.ร.ฎ.กำหนดค่าใช้จ่ายหักลดหย่อนกับนิติบุคคล: ไม่สามารถใช้ พ.ร.ฎ.ที่บังคับใช้กับบุคคลธรรมดาในการคำนวณภาษีนิติบุคคลได้
พ.ร.ฎ.ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 มาตรา 8(25) เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคล-ธรรมดาพึงหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ มิใช่เพื่อกำหนดรายได้ของผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนั้น กรมสรรพากรจะนำ พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ที่ใช้บังคับแก่กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มาใช้บังคับกับกรณีของนิติบุคคลโดยอนุโลมหาได้ไม่ เพราะการคำนวณหาเงินได้ของนิติบุคคลจะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 65, 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่ง ป.รัษฎากร ดังนั้น การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในส่วนที่นำ พ.ร.ฎ.ออกตามความใน ป.รัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน(ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 มาตรา 8 (25) มาเป็นเกณฑ์กำหนดให้โจทก์มีต้นทุนขายร้อยละ 80 ทำให้รายได้จากการขายต่ำไป 863,699.06 บาท นั้น จึงไม่ถูกต้องชอบที่เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์จะต้องดำเนินการตรวจสอบตามเอกสารหลักฐานทางบัญชีที่โจทก์นำมามอบให้ตรวจสอบ หากเอกสารหลักฐานทางบัญชีที่โจทก์นำมามอบให้ตรวจสอบไม่เป็นการเพียงพอที่จะตรวจสอบหาเงินได้ของโจทก์ได้ตามมาตรา 65, 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แล้ว จึงชอบที่จะใช้วิธีการประเมินตามมาตรา 71 (1) จะนำ พ.ร.ฎ.ฉบับดังกล่าวมาใช้หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4082/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นภาษีอากร: การประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล, ค่าใช้จ่ายต้องห้าม, เงินเพิ่ม, และการพิสูจน์หลักฐานทางบัญชี
ในกรณีที่ผู้ต้องเสียภาษีอากรอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) และคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นชอบด้วยนั้น อาจถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเพิกถอนโดยคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลได้ กรมสรรพากรมีสิทธิจะได้รับชำระภาษีอากรตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่ จึงต้องรอคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเสียก่อนมิฉะนั้นบทบัญญัติว่าด้วยการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรที่กล่าวมาแล้วก็จะไร้ผล คดีนี้โจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาล และคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลซึ่งยังไม่ถึงที่สุด กรมสรรพากรจำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระภาษีอากรตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 19 ที่กำหนดให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกได้ภายใน 5 ปี นับแต่วันยื่นรายการมิใช่เป็นอายุความในการเรียกร้องให้ชำระภาษี ในการพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่มีกฎหมายกำหนดไว้ว่าจะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบภายในกำหนดเวลาเท่าใด และสิทธิเรียกร้องค่าภาษีอากรมีอายุความ 10 ปี ดังนั้น แม้จะแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบเกิน 5 ปี นับแต่โจทก์ได้รับแจ้งการประเมินก็ไม่ทำให้การประเมินที่ผ่านมาแล้วเป็นการประเมินที่ไม่ชอบ ในการจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ให้แก่เจ้าของลิขสิทธิ์ โจทก์ได้แบ่งจ่ายให้แก่ผู้อื่นตามที่เจ้าของลิขสิทธิ์บอก ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าผู้มีเงินได้ค่าลิขสิทธิ์จริงคือผู้ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ส่วนผู้ที่มารับเงินเพียงแต่เป็นบุคคลที่เจ้าของลิขสิทธิ์บอกให้โจทก์จ่ายจึงถือได้ว่าเป็นเงินได้ที่โจทก์จ่ายให้แก่เจ้าของลิขสิทธิ์แต่ผู้เดียว โจทก์ต้องคำนวณหักภาษี ณ ที่จ่ายเหมือนเช่นจ่ายเงินได้ให้แก่เจ้าของลิขสิทธิ์แต่ผู้เดียว ไม่ชอบที่โจทก์จะคำนวณหักภาษีณ ที่จ่ายหลังจากแบ่งค่าลิขสิทธิ์ให้แก่บุคคลต่าง ๆ ที่เจ้าของลิขสิทธิ์บอกให้โจทก์จ่ายแล้วซึ่งเป็นเหตุให้โจทก์หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งไม่ครบถ้วน ทั้งนี้เพราะภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นถ้ามีเงินได้มากขึ้นก็จะต้องเสียภาษีในอัตราเพิ่มมากขึ้น แม้โจทก์จะไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากการหักภาษี ณ ที่จ่ายแต่กฎหมายกำหนดให้โจทก์ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่ต้องหักภาษีณ ที่จ่าย และนำส่งให้ถูกต้องครบถ้วน เมื่อโจทก์หักและนำส่งไม่ครบจำนวนที่ถูกต้อง โจทก์ก็ต้องรับผิดร่วมกับผู้มีเงินได้ในการเสียภาษีที่ต้องชำระตามจำนวนเงินภาษีที่ขาดตามมาตรา 54 ค่าซื้อเครื่องถ่ายเอกสารตามหลักฐานปรากฏว่าโรงพิมพ์ ก.ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากโจทก์เป็นผู้ซื้อ จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นรายจ่ายเพื่อกิจการของโจทก์โดยเฉพาะ ต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายตามมาตรา 65 ตรี (13) ค่ากระเช้าดอกไม้ ค่าช่วยงานแต่งงาน ค่าช่วยงานบวชนาค และค่าช่วยงานศพ ล้วนมีลักษณะเป็นการให้โดยเสน่หา และเป็นการส่วนตัวของผู้มีอำนาจจ่ายเงินนั้น ๆ เพื่อประโยชน์ในทางการงานหรือสังคมของตนเอง และมิใช่เป็นรายจ่ายเพื่อหารายได้ในการดำเนินธุรกิจการค้าของโจทก์โดยตรงจึงต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายตามมาตรา 65 ตรี (3) รายจ่ายค่าซ่อมรถซึ่งโจทก์ไม่มีหลักฐานว่าเป็นค่าซ่อมรถของโจทก์จึงถือไม่ได้ว่าเป็นรายจ่ายเพื่อกิจการของโจทก์โดยเฉพาะต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายตาม มาตรา 65 ตรี (13) ค่ารับรองและค่าพาหนะซึ่งล้วนแต่เป็นรายจ่ายที่เป็นการส่วนตัวของผู้มีอำนาจจ่ายเงินยิ่งกว่าประโยชน์ทางการค้าของโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายตาม มาตรา 65 ตรี (3) ค่าขนส่ง ค่านายหน้า และค่าจ้างทำของ และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดซึ่งโจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ จึงต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายตามมาตรา 65 ตรี (18) ค่าซ่อมแซมพื้นห้องที่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าโจทก์ได้ซ่อมแซมพื้นห้องของโจทก์จริง จึงต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายตาม มาตรา 65 ตรี (13) เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์หลีกเลี่ยงภาษีและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ผ่อนผันลดเงินเพิ่มให้แก่โจทก์แล้ว คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเงินเพิ่มตามกฎหมายจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะงดเงินเพิ่มให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บัญชีเดินสะพัดเป็นหลักฐานทางบัญชีได้ แม้ไม่มีลายมือชื่อรับรอง หากคำนวณโดยสุจริตและตรงกับความจริง
จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ แม้บัญชีเดินสะพัดและบัญชีหนี้ค้างนาน โจทก์เป็นฝ่ายทำขึ้นเองโดย จำเลยมิได้ลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้อง แต่ โจทก์เป็นธนาคารมีหน้าที่จะต้องจัดทำบัญชีและหลักฐานต่าง ๆ ขึ้นสำหรับลูกค้าของโจทก์ทุกรายเพื่อแสดงยอด เงินฝากและเงินถอน ระหว่างโจทก์กับลูกค้าแต่ละรายว่าเป็นหนี้ต่อกันหรือไม่เพียงใด เมื่อมีเหตุผลทำให้เชื่อ ว่ายอดหนี้ตาม บัญชีเดินสะพัดและบัญชีหนี้ค้างนาน โจทก์คิดคำนวณโดยสุจริตในการดำเนิน ธุรกิจของตน ถูกต้อง ตรง กับความจริง ศาลก็รับฟังบัญชีดังกล่าวนั้นได้ แม้โจทก์มิได้อ้างเช็ค ที่จำเลยสั่งจ่ายเบิกเงินไปจากบัญชีรวมทั้งใบแจ้งยอดหนี้ประจำเดือน มาเป็นพยานก็ไม่ถึงกับทำให้รับฟังบัญชีดังกล่าวไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 817/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี, หลักฐานทางบัญชี, ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน, ดอกเบี้ย, การคิดดอกเบี้ย
จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ แม้บัญชีเดินสะพัดและบัญชีหนี้ค้างนานโจทก์เป็นฝ่ายทำขึ้นเองโดยจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้อง แต่โจทก์เป็นธนาคารมีหน้าที่จะต้องจัดทำบัญชีและหลักฐานต่างๆ ขึ้นสำหรับลูกค้าของโจทก์ทุกรายเพื่อแสดงยอดเงินฝากและเงินถอนระหว่างโจทก์กับลูกค้าแต่ละรายว่าเป็นหนี้ต่อกันหรือไม่เพียงใดเมื่อมีเหตุผลทำให้เชื่อว่ายอดหนี้ตามบัญชีเดินสะพัดและบัญชีหนี้ค้างนาน โจทก์คิดคำนวณโดยสุจริตในการดำเนินธุรกิจของตนถูกต้องตรงกับความจริงศาลก็รับฟังบัญชีดังกล่าวนั้นได้ แม้โจทก์มิได้อ้างเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเบิกเงินไปจากบัญชีรวมทั้งใบแจ้งยอดหนี้ประจำเดือนมาเป็นพยานก็ไม่ถึงกับทำให้รับฟังบัญชีดังกล่าวไม่ได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4358/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์หนี้, หลักฐานทางบัญชี, การยื่นเอกสารเพิ่มเติมหลังอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันและทายาทผู้รับมรดกของ ส. ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแทน ส.จำเลยให้การว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์หรือไม่ จำเลยไม่ทราบ ผู้ตายไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ดังนี้เป็นคำให้การที่ปฏิเสธฟ้องของโจทก์ โจทก์มีภาระที่จะต้องพิสูจน์ให้ฟังได้ว่า ส. เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง แต่เอกสารที่โจทก์อ้างประกอบคำเบิกความพยานโจทก์ซึ่งเป็นหลักฐานแห่งหนี้ปรากฏยอดเงินเป็นศูนย์โดยที่โจทก์มิได้อธิบายถึงความเป็นมาแห่งจำนวนหนี้ โจทก์จะให้ศาลฟังว่ายังมีหนี้ตามบัญชีนี้อยู่อีกย่อมไม่ได้จึงต้องฟังว่า ส. มิได้เป็นหนี้โจทก์
บัญชีพาสท์ดิวที่โจทก์ยื่นมาท้ายอุทธรณ์เพื่อแสดงว่ามีการโอนหนี้มายังบัญชีพาสท์ดิวนั้น เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2)และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟัง
บัญชีพาสท์ดิวที่โจทก์ยื่นมาท้ายอุทธรณ์เพื่อแสดงว่ามีการโอนหนี้มายังบัญชีพาสท์ดิวนั้น เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2)และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4358/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระการพิสูจน์หนี้, หลักฐานทางบัญชี, การยื่นเอกสารเพิ่มเติมหลังอุทธรณ์, ศาลไม่รับฟัง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันและทายาทผู้รับมรดกของ ส.ชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแทนส.จำเลยให้การว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์หรือไม่ จำเลยไม่ทราบผู้ตายไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ดังนี้เป็นคำให้การที่ปฏิเสธฟ้องของโจทก์ โจทก์มีภาระที่จะต้องพิสูจน์ให้ฟังได้ว่า ส. เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง แต่เอกสารที่โจทก์อ้างประกอบคำเบิกความพยานโจทก์ซึ่งเป็นหลักฐานแห่งหนี้ปรากฏยอดเงินเป็นศูนย์โดยที่โจทก์มิได้อธิบายถึงความเป็นมาแห่งจำนวน หนี้ โจทก์จะให้ศาลฟังว่ายังมีหนี้ตามบัญชีนี้อยู่อีกย่อม ไม่ได้ จึงต้องฟังว่า ส. มิได้เป็นหนี้โจทก์
บัญชีพาสท์ดิวที่โจทก์ยื่นมาท้ายอุทธรณ์เพื่อแสดงว่ามีการโอนหนี้มายังบัญชีพาสท์ดิวนั้น เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟัง
บัญชีพาสท์ดิวที่โจทก์ยื่นมาท้ายอุทธรณ์เพื่อแสดงว่ามีการโอนหนี้มายังบัญชีพาสท์ดิวนั้น เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1589/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย, อายุความมรดก, และหลักฐานทางบัญชี
การที่ศาลฟังพฤติการณ์ต่างๆ เช่น บิดาให้การศึกษาแก่เด็ก ให้ใช้นามสกุลปฏิบัติต่อกันฉันบิดากับบุตร และฟังว่าเด็กเป็นบุตรของบิดาอันเกิดแต่มารดาซึ่งเป็นสามีภริยากันตามกฎหมายก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 นั้น ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1524ซึ่งใช้สำหรับพิสูจน์การเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้จัดการมรดกเป็นผู้ครอบครองมรดกแทนทายาท ถือว่าทายาทได้ครอบครองมรดกแล้วแม้ทายาทจะฟ้องผู้จัดการมรดกเกิน 1 ปีนับแต่เจ้ามรดกตาย ก็ไม่ขาดอายุความ
ทรัพย์สินที่มีมาก่อนสมรส เมื่อไม่ใช่สินส่วนตัวแล้วก็เป็นสินเดิมทั้งสิ้น
สำเนาบัญชีฝากเงินธนาคารที่คัดจากบัญชีในธนาคารซึ่งนำมาศาลไม่ได้ เมื่อคู่ความอีกฝ่ายมิได้คัดค้านว่าไม่ถูกต้องกับต้นฉบับ ย่อมเป็นพยานหลักฐานที่ศาลรับพิจารณาได้ว่าข้อเท็จจริงมีอยู่อย่างไร โดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่ธนาคารมาเบิกความชี้แจงประกอบ
ผู้จัดการมรดกเป็นผู้ครอบครองมรดกแทนทายาท ถือว่าทายาทได้ครอบครองมรดกแล้วแม้ทายาทจะฟ้องผู้จัดการมรดกเกิน 1 ปีนับแต่เจ้ามรดกตาย ก็ไม่ขาดอายุความ
ทรัพย์สินที่มีมาก่อนสมรส เมื่อไม่ใช่สินส่วนตัวแล้วก็เป็นสินเดิมทั้งสิ้น
สำเนาบัญชีฝากเงินธนาคารที่คัดจากบัญชีในธนาคารซึ่งนำมาศาลไม่ได้ เมื่อคู่ความอีกฝ่ายมิได้คัดค้านว่าไม่ถูกต้องกับต้นฉบับ ย่อมเป็นพยานหลักฐานที่ศาลรับพิจารณาได้ว่าข้อเท็จจริงมีอยู่อย่างไร โดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่ธนาคารมาเบิกความชี้แจงประกอบ