คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
หลักฐานเพิ่มเติม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 8 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4818/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตให้แสดงหลักฐานเพิ่มเติมเรื่องฐานะยากจน หลังศาลตัดสินแล้วว่าไม่มีเหตุผลอันสมควรในการอุทธรณ์
จำเลยทั้งสองเคยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์มาครั้งหนึ่งแล้ว ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง เพราะเห็นว่าคดีของจำเลยทั้งสองไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 156 วรรคท้าย และปัญหาที่ว่าคดีของจำเลยทั้งสองมีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์หรือไม่ ย่อมยุติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ดังนั้น แม้หากจะฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนยากจนก็ไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดี จึงไม่มีเหตุที่จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่ เพื่ออนุญาตให้จำเลยทั้งสองนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนได้อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749/2547 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอฎีกาอย่างคนอนาถาต้องแสดงหลักฐานเพิ่มเติมหากศาลเคยปฏิเสธคำร้องแล้ว
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ฉบับแรกว่าโจทก์ไม่นำพยานมาไต่สวน และให้ยกคำร้องขออนาถาของโจทก์ คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเท่ากับวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำร้องของโจทก์แล้วว่า โจทก์ไม่ใช่คนอนาถาจะใช้สิทธิดำเนินคดีอย่างคนอนาถาไม่ได้ การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่นั้นย่อมถือเป็นการใช้สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 156 วรรคสี่ ซึ่งโจทก์จะต้องขออนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่า โจทก์เป็นคนยากจน แต่คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ของโจทก์ หาได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ขอนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมโดยระบุถึงเหตุที่มิได้ระบุหรืออ้างไว้ในการไต่สวนครั้งแรกไว้ไม่ เมื่อประกอบกับคดีนี้ไม่มีการไต่สวนสืบพยานโจทก์เนื่องจากโจทก์ไม่ยื่นบัญชีระบุพยานและไม่มาศาลในวันนัดไต่สวนครั้งแรก กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 156 วรรคสี่ ที่ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ของโจทก์ไว้ไต่สวนจึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอฎีกาอนาถาซ้ำโดยไม่แสดงหลักฐานเพิ่มเติม ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ชอบด้วยกระบวนการ
โจทก์ยื่นฎีกาวันที่ 12 เมษายน 2544 พร้อมกับยื่นคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 9 กรกฎาคม 2544 แต่ไม่มีคู่ความมาศาล ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า โจทก์ไม่นำพยานมาไต่สวน ให้ยกคำร้อง ให้โจทก์นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาชำระภายใน 7 วัน ต่อมาวันที่ 13 กรกฎาคม 2544 โจทก์ยื่นคำร้องขอยื่นฎีกาอย่างคนอนาถาใหม่ ดังนี้เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ฉบับแรกโดยวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำร้องของโจทก์แล้วว่า โจทก์ไม่ใช่คนอนาถาการที่โจทก์ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ ย่อมถือเป็นการใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ ซึ่งโจทก์จะต้องขออนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าโจทก์เป็นคนยากจน แต่คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ของโจทก์ มิได้ขอนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมโดยระบุถึงเหตุที่มิได้ระบุหรืออ้างไว้ในการไต่สวนครั้งแรกประกอบกับไม่มีการไต่สวนพยานโจทก์จึงไม่ต้องด้วยมาตรา 156 วรรคสี่ ที่ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ของโจทก์ไว้ไต่สวนจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1714/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอนาถาและการยุติของคำสั่งศาล การยื่นคำร้องใหม่เพื่อขอแสดงหลักฐานเพิ่มเติมหลังพ้นกำหนดอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาเนื่องจากคดีของโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย กลับยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าคดีของตนมีมูลที่จะฟ้องร้องและเป็นคนยากจน ดังนั้นปัญหาที่ว่าคดีโจทก์มีมูลที่จะฟ้องร้องหรือไม่ ย่อมยุติแล้วตามคำสั่งศาลชั้นต้น ถึงหากศาลจะอนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมและได้ความว่าโจทก์เป็นคนยากจน ก็ไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดีของโจทก์ จึงไม่มีเหตุที่จะพิจารณาคำขอของโจทก์นั้นใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2277/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอฟ้องคดีอนาถาและการยุติของประเด็นคดี การนำเสนอหลักฐานเพิ่มเติมเฉพาะเรื่องความยากจน
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาโดยไม่เชื่อว่าโจทก์เป็นคนยากจน และคดีของโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นภายใน 7 วัน กลับยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าเป็นคนยากจนอีก แม้ตามคำร้องจะแสดงให้เห็นด้วยว่าโจทก์ประสงค์นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าคดีของตนมีมูลที่จะฟ้องร้องก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 อนุญาตให้ผู้ขอนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมในข้อที่ว่าตนเป็นคนยากจนแต่ประการเดียวเท่านั้น ดังนั้นปัญหาที่ว่าคดีโจทก์มีมูลที่จะฟ้องร้องหรือไม่ ย่อมยุติแล้วตามคำสั่งศาลชั้นต้นแม้ได้ความว่าโจทก์เป็นคนยากจน ก็ไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดีของโจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะพิจารณาคดีของโจทก์ใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1829/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษี: สิทธิของเจ้าพนักงานประเมินในการแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติม และข้อยกเว้นมาตรา 94 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 เป็นบทบัญญัติที่ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีที่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงที่จะนำสืบว่ายังมีข้อความเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก ซึ่งหมายเฉพาะ ในกรณีที่ฟ้องร้องให้บังคับหรือไม่บังคับระหว่างคู่สัญญาตามสัญญาขายฝาก แต่กรณีระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่มีการฟ้องร้องให้บังคับตามสัญญาขายฝาก หากแต่เป็นกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน(ประเมินภาษี) ของรัฐไม่เชื่อว่าโจทก์จะไม่มีกำไรในการรับซื้อฝาก เพราะเป็นการผิดวิสัยของผู้มีอาชีพในการซื้อขายที่ดิน จำเลยจึงย่อมมีสิทธิที่จะแสวงหาหลักฐาน เมื่อได้ความจริงก็ย่อมมีอำนาจที่จะประเมินให้โจทก์เสียภาษีใหม่ได้ และย่อมมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบในศาลว่าผู้ขายฝากที่ดินให้แก่โจทก์นั้น ได้รับเงินไม่เต็มตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาขายฝากได้ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 739/2497

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบิกความเท็จ – การพิสูจน์ข้อสำคัญ – หลักฐานเพิ่มเติมชั้นฎีกา – พิพากษายืน
ฟ้องว่าเบิกความเท็จแต่เท่าที่ปรากฏในฟ้องและในคำให้การจำเลยเบิกความเท็จในข้อสำคัญอย่างใดไม่ได้ความดังนี้แม้จำเลยจะรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
เมื่อไม่ได้อ้างสำนวนเป็นพยานจะขอให้ศาลเรียกมาประกอบการพิจารณาชั้นฎีกา นั้นเป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9700/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าขึ้นศาลขาดอายุความ 5 ปี แม้ศาลสั่งให้แสดงหลักฐานเพิ่มเติมภายหลัง
คดีนี้ศาลมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 โดยมีคำพิพากษาให้คืนค่าขึ้นศาลแก่โจทก์เป็นกรณีพิเศษเป็นเงิน 180,000 บาท โจทก์ทราบคำพิพากษาแล้วจึงมีสิทธิจะเรียกเอาค่าขึ้นศาลคืนนับแต่เวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเป็นต้นไป และจะต้องขอค่าขึ้นศาลคืนภายใน 5 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาตามยอม แม้โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับค่าขึ้นศาลคืน ภายในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แสดงหนังสือมอบอำนาจให้แก่ นาย ม. มีอำนาจรับเงินจากศาลเสียก่อนจึงจะพิจารณาสั่ง เท่ากับศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์รับค่าขึ้นศาลคืนในวันดังกล่าว การที่โจทก์ยื่นคำแถลงขอส่งหนังสือมอบอำนาจให้ นาย ม. มีอำนาจรับเงินจากศาลในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549 พ้นกำหนด 5 ปี โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะขอรับค่าขึ้นศาลคืนเพราะเงินดังกล่าวได้ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์รับค่าขึ้นศาลคืน จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลง เป็นกระบวนการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น แล้วมีคำสั่งใหม่ให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27