คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
หลีกเลี่ยง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 91 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5592/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาให้ที่พักกับคนต่างด้าวเพื่อทำงาน ไม่ถือเป็นความช่วยเหลือเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุม
การกระทำที่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองพ.ศ. 2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง ผู้กระทำต้องให้คนต่างด้าวเข้าพักอาศัยซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม
พ. กับ อ. เป็นคนต่างด้าวสัญชาติพม่า เป็นลูกจ้างส่งน้ำแข็งที่ร้านของจำเลย แม้จำเลยให้บุคคลทั้งสองพักอาศัยที่บ้านของจำเลยแต่จำเลยมีเจตนาให้บุคคลทั้งสองทำงานให้จำเลยเท่านั้น หาได้มีเจตนาเพื่อให้บุคคลทั้งสองพ้นจากการจับกุมไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบให้เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาให้ พ. กับ อ. พ้นจากการจับกุมพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 64

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4252/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ: การยิงเพื่อหยุดยั้งการทำร้ายด้วยมีด แม้ผู้ตายจะถือมีดขนาดเล็กและจำเลยมีทางหลีกเลี่ยง
แม้ผู้ตายมีเจตนาจะใช้มีดที่ถืออยู่ประทุษร้ายจำเลยอย่างแน่นอน อันเป็นการละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปที่มือผู้ตาย ขณะที่มือผู้ตายอยู่บริเวณใบหน้า และจำเลยรู้ดีว่าปืนของจำเลยเป็นชนิดที่ยิงออกไปแล้วกระสุนกระจายออกหลายเม็ด จำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่า หากจำเลยยิงไปที่มือกระสุนปืนต้องถูกใบหน้าผู้ตายด้วย ข้ออ้างของจำเลยที่อ้างว่า ต้องการยิงมือของผู้ตายเพื่อให้มีดตกลงจากมือผู้ตายฟังไม่ขึ้น
ผู้ตายถือมีดทำครัวใบมีดยาวเพียง 4 นิ้ว กว้าง 1 นิ้ว เข้ามาจะทำร้ายจำเลยหากจำเลยเพียงแต่ใช้อาวุธปืนขู่หรือเพียงแต่ยิงขู่ผู้ตายซึ่งเมาสุราและถือมีดดังกล่าว ก็ไม่น่าจะกล้าใช้มีดนั้นเข้ามาทำร้ายอีกต่อไป แม้จำเลยจะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพียงนัดเดียวก็เป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4183/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนขายทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับจำนอง ไม่ถือเป็นโกงเจ้าหนี้
หลังจากจำเลยตกเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาแล้ว จำเลยไปทำสัญญาขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยให้แก่ พ. ในภายหลังอีก เนื่องจากจำเลยและสามีจำเลยถูกธนาคารฟ้องให้ร่วมกันรับผิดชำระหนี้เงินกู้และธนาคารได้ขอบังคับจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยนำไปจำนองไว้เป็นประกันการกู้ยืมด้วยแม้ธนาคารจะฟ้องคดีหลังจากที่โจทก์ฟ้องจำเลยแล้วก็ตาม แต่หนี้ที่จำเลยมีอยู่ต่อธนาคารเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนและเป็นหนี้ที่มิได้เกิดจากการสมยอมระหว่างจำเลยกับธนาคาร ดังนั้น การที่จำเลยตกลงยินยอมให้ พ. เป็นผู้ชำระหนี้เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินต่อธนาคารแทนจำเลย และรับโอนที่ดินไปโดยมีข้อตกลงให้จำเลยซื้อที่ดินคืนกลับไปได้นั้นจึงเป็นกรณีที่จำเลยต้องกระทำเพื่อมิให้ธนาคารผู้รับจำนองบังคับจำนองแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยถือไม่ได้ว่าจำเลยโอนขายทรัพย์สินของตนไปโดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4260/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้จัดการมรดกหลีกเลี่ยงแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาท ออกเช็คแล้วไม่จ่าย ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของ ซ. มีหน้าที่รวบรวมทรัพย์มรดกแล้วนำมาแบ่งให้แก่ทายาทของ ซ. เมื่อบรรดาทายาทได้ตกลงกันให้จำเลยขายที่ดินทรัพย์มรดก จำเลยขายได้แล้วจึงออกเช็คสั่งจ่ายเงินส่วนแบ่งล่วงหน้าให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกของ ซ. ตามที่ตกลงกันแล้ว แต่จำเลยพยายามหลีกเลี่ยงไม่ยอมแบ่งเงินที่ขายทรัพย์มรดกได้ให้แก่ผู้เสียหายและบรรดาทายาทของ ซ.และแม้จะปรากฏว่ายังมีที่ดินมรดกอีกส่วนหนึ่งยังขายไม่ได้แต่ก็ปรากฏว่า เมื่อจำเลยตกลงแบ่งเงินที่ขายได้แล้วให้แก่บรรดาพี่น้องที่เป็นชายเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ผู้เสียหายและพี่น้องจึงไม่ติดใจทรัพย์มรดกส่วนนั้น ซึ่งหมายความว่าพร้อมใจกันยกให้แก่จำเลยนั่นเอง การที่จำเลยเป็นผู้จัดการทรัพย์มรดกขายทรัพย์มรดกได้แล้วตกลงแบ่งเงินที่ขายได้แล้วให้แก่ผู้เสียหาย จำเลยจึงมีหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ผู้เสียหายแล้ว และเมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ดังกล่าวมิใช่เป็นการออกเช็คเพื่อค้ำประกันเงินส่วนแบ่งทรัพย์มรดกที่จำเลยจะแบ่งให้แก่ผู้เสียหาย ดังนี้เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามคำพิพากษาศาล: การกระทำที่เจตนาทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่คู่กรณี
ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วกำแพงคอนกรีตที่พิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจำเลยจะรื้อถอนรั้วกำแพงคอนกรีตที่พิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ ศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาจำเลยรับคำบังคับแล้ว จำเลยได้รื้อถอนกำแพงคอนกรีตออกจากแนวที่จำเลยก่อสร้างรุกล้ำที่ดินของฝ่ายโจทก์ แต่ได้ใช้แผ่นเหล็กก่อเป็นกำแพงตามแนวเดิมอีก จำเลยไม่รื้อหลังคากันสาดอะลูมิเนียมที่จำเลยสร้างคลุมบริเวณรั้วกำแพงคอนกรีตออกไปและจำเลยได้ก่อสร้างชั้นวางของทำด้วยแผ่นเหล็กสูงประมาณ 1.47 เมตร ขึ้นใหม่ในที่ดินของฝ่ายโจทก์ตลอดแนวรั้วกำแพงคอนกรีตเดิมถัดจากแนวรั้วเดิม เมื่อคดีนี้จำเลยถูกดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่งจนมีคำพิพากษาศาลฎีกาให้ลงโทษจำเลยในทางอาญาและให้แพ้คดีในทางแพ่ง จำเลยจึงอยู่ในฐานะของผู้ที่ทราบเรื่องต่าง ๆ ดีพฤติการณ์ที่จำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาโดยรื้อถอนรั้วกำแพงคอนกรีตออกไปจากที่ดินโจทก์แล้วยื่นคำแถลงให้ศาลชั้นต้นทราบ และจำเลยได้กระทำการโดยวิธีการอันแยบคายของจำเลยที่อาศัยการใช้วัสดุก่อสร้างอย่างอื่นให้ผิดไปจากที่ระบุไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกา ย่อมเป็นที่เข้าใจว่าจำเลยมีเจตนาที่แท้จริงที่จะหลีกเลี่ยงไม่ถือปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา โดยมุ่งหวังที่จะก่อให้เกิดความเดือนร้อนแก่โจทก์นั่นเอง โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนและขนย้ายชั้นวางของดังกล่าวออกไปจากที่ดินของโจทก์ได้ ไม่เป็นการบังคับคดีเกินหรือนอกคำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2825/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานรับทองคำหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ผู้กระทำผิดลักลอบนำเข้า
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปรับจำเลยเป็นเงินสี่เท่าของราคาของเป็นเงิน 27,126,838.64 บาท ริบของกลาง และให้จ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับร้อยละสามสิบของราคาของกลางและจ่ายเงินรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมร้อยละสิบห้าของราคาของ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จ่ายสินบนร้อยละสามสิบและจ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของราคาของกลางที่ศาลสั่งริบตาม พ.ร.บ.ให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ.2489 มาตรา 7 และ 8 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการพิพากษาแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรก
การวินิจฉัยว่าผู้ใดกระทำผิดโดยรับไว้ซึ่งทองคำแท่ง ซึ่งผู้อื่นลักลอบนำหรือพาเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีตาม พ.ร.บ.ศุลกากรพ.ศ.2469 มาตรา 27 ทวิ หรือไม่นั้น เมื่อองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 27 ทวิเพียงแต่ผู้ใดเจตนารับไว้ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้าม หรือข้อจำกัดก็เป็นความผิดแล้ว ไม่จำเป็นต้องได้ข้อเท็จจริงชี้ชัดลงไปว่ามีผู้รู้เห็นว่าผู้นั้นกระทำผิดโดยลักลอบนำเข้าซึ่งทองคำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่เสียภาษีศุลกากรหรือไม่เสียก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3946/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกกรณีจำเลยย้ายภูมิลำเนาหลีกเลี่ยงการรับคำคู่ความ ศาลชอบด้วยกฎหมายที่จะส่งหมายเรียกโดยการประกาศ
โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535 โดยก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 จำเลยได้แจ้งต่อนายทะเบียนท้องถิ่นขอย้ายภูมิลำเนาไปอยู่บ้านเลขที่ 50 ถนนนเรศ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร แต่จำเลยไม่ได้ดำเนินการแจ้งย้ายภูมิลำเนาเข้าบ้านดังกล่าวแต่อย่างใด จนถึงวันที่17 กุมภาพันธ์ 2535 หลังจากโจทก์ฟ้องคดีแล้วเป็นเวลา 7 วัน จำเลยจึงได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 70/16 ตำบลบางกระสอ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ดังนั้นจึงต้องถือว่าในระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2534 ถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์2535 จำเลยเป็นบุคคลที่ไม่ปรากฏภูมิลำเนาซึ่งศาลไม่อาจส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยวิธีธรรมดาได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยวิธีประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 79 วรรคหนึ่ง แล้ว
จำเลยย้ายภูมิลำเนาหลายครั้งโดยมีพฤติการณ์ไม่สุจริต เป็นการหลีกเลี่ยงที่จะไม่รับคำคู่ความหรือเอกสารใดถ้ามีถึงตนจนต้องขาดนัดพิจารณา จึงไม่มีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้พิจารณาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3946/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายเรียกโดยวิธีประกาศเนื่องจากจำเลยย้ายภูมิลำเนาหลีกเลี่ยงการรับเอกสาร และเหตุผลไม่อนุญาตให้พิจารณาใหม่
โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2535 โดยก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 จำเลยได้แจ้งต่อนายทะเบียนท้องถิ่นขอย้ายภูมิลำเนาไปอยู่บ้านเลขที่ 50ถนนเรศ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร แต่จำเลยไม่ได้ดำเนินการแจ้งย้ายภูมิลำเนาเข้าบ้านดังกล่าวแต่อย่างใดจนถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2535 หลังจากโจทก์ฟ้องคดีแล้วเป็นเวลา 7 วัน จำเลยจึงได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 70/16 ตำบลบางกระสอ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ดังนั้นจึงต้องถือว่าในระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2534ถึงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2535 จำเลยเป็นบุคคลที่ไม่ปรากฎภูมิลำเนาซึ่งศาลไม่อาจส่งหมายเรียกและสำเนาคำร้องโดยวิธีธรรมดาได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยวิธีประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคหนึ่ง แล้ว จำเลยย้ายภูมิลำเนาหลายครั้งโดยมีพฤติการณ์ไม่สุจริตเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะไม่รับคำคู่ความหรือเอกสารใดถ้ามีถึงตนจนต้องขาดนัดพิจารณาจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะให้พิจารณาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9306/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานทุจริตเรียกรับเงินจากทหารกองเกินเพื่อช่วยเหลือให้หลีกเลี่ยงการตรวจเลือกเข้ากองประจำการ
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานเขตภายใต้บังคับบัญชาของหัวหน้าเขตซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยนัยแห่งพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 มาตรา 28 จัตวา(2)หัวหน้าเขตย่อมมีอำนาจออกคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่ 1ให้เป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ช่วยเหลือคณะกรรมการตรวจเลือกทหารกองเกินภายในเขตท้องที่และถือว่าจำเลยที่ 1เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร นอกเหนือจากการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเสมียนสัสดี เมื่อจำเลยที่ 1 เรียกและรับเงินจากบรรดาทหารกองเกินผู้ได้รับหมายเรียกให้เข้ารับการตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารกองประจำการเป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือมิให้ต้องเข้ารับการตรวจเลือกและไม่ต้องเข้ารับราชการทหารกองประจำการ จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 843/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเตรียมการฟ้องคดีโดยเจตนาหลีกเลี่ยงให้จำเลยไม่ทราบ และการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ในการฟ้องคดีก่อนจำเลยเตรียมการไว้ล่วงหน้าที่จะฟ้องโจทก์โดยไม่ให้โจทก์ทราบว่าถูกฟ้อง แม้แต่ชื่อของโจทก์ก็ระบุไม่ตรงกับชื่อและนามสกุลของโจทก์ หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วจำเลยนำคำพิพากษาไปให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์ให้จำเลยทั้ง ๆ ที่ชื่อและนามสกุลของโจทก์ไม่ตรงกับชื่อของโจทก์ที่ระบุไว้ในโฉนดที่ดิน เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 ถือว่าเป็นละเมิดต่อโจทก์ตามมาตรา 420 โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินได้
of 10