คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ห้ามปราม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 18 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกเคหสถาน แม้ได้รับอนุญาตจากบุตรสาว แต่ถูกห้ามจากเจ้าของบ้าน ถือเป็นความผิดฐานบุกรุก
แม้จำเลยเข้าไปในบ้านโจทก์ร่วมด้วยความยินยอมของบุตรสาวโจทก์ร่วมแต่เมื่อโจทก์ร่วมได้ห้ามปรามอย่างเด็ดขาดไว้แล้วถือว่าเป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควรจึงมีความผิดฐานบุกรุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกเคหสถาน แม้ได้รับความยินยอมจากผู้อื่น แต่เจ้าของบ้านเคยห้ามปรามไว้ ถือเป็นเหตุบุกรุก
ก่อนเกิดเหตุโจทก์ร่วมได้ห้ามปรามไม่ให้จำเลยเข้าไปในบ้านโจทก์ร่วมอีกการที่จำเลยยังฝ่าฝืนเข้าไปในบ้านโจทก์ร่วมแม้จะได้รับความยินยอมจากนางสาวน. บุตรสาวโจทก์ร่วมก็ตามถือได้ว่าเป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควรจำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6951/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันปล้นทรัพย์: การกระทำโดยสนับสนุนและไม่ห้ามปราม
จำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ว่าจ้างผู้เสียหายขับรถยนต์รับจ้างไปส่งที่เกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ซึ่งนั่งรวมอยู่กับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ด้านหลังลงมาช่วยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปลดทรัพย์ผู้เสียหายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ได้ ในลักษณะที่ตัวจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 เปรอะเปื้อนและเปียก ส่วนจำเลยที่ 4 ตามจับได้ตามคำซัดทอดของผู้ถูกจับได้ก่อน ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ไม่ห้ามปรามจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3ทั้งยังแยกย้ายกันหลบหนี พยานหลักฐานโจทก์ฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้งหมดฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ถึงที่ 7 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5698/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ความรุนแรงในการห้ามปรามวิวาทและการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีบันดาลโทสะ
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 2 ได้วิวาทชกต่อยกับผู้เสียหายจำเลยที่ 2 เข้าห้ามปรามมิให้ผู้เสียหายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 ผู้เสียหายกลับชกต่อยและเตะจำเลยที่ 2 จนเซไป แล้วหวนกลับไปทำร้ายจำเลยที่ 1 อีก จำเลยที่ 2 จึงใช้เก้าอี้ตีผู้เสียหายถูกที่บริเวณศีรษะ และหน้าผากเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 วิวาทชกต่อยกับผู้เสียหาย จึงเป็นการสมัครใจวิวาท มิใช่ผู้เสียหายประทุษร้ายจำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียว แม้ผู้เสียหายจะหวนกลับไปทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1อีก ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในขณะที่วิวาทกัน จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิที่จะป้องกันจำเลยที่ 1 ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 2 ใช้เก้าอี้ตีผู้เสียหายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะจำเลยที่ 2 เข้าไปห้ามปรามมิให้ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยที่ 1 จึงถูกผู้เสียหายชกต่อยและเตะจำเลยที่ 2 จนเซไป แล้วผู้เสียหายได้หวนกลับมาจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่เกิดแก่จำเลยที่ 2 เองคือการถูกผู้เสียหายชกต่อยและเตะจนเซไปได้ผ่านพ้นไปแล้ว การที่จำเลยที่ 2 ใช้เก้าอี้ตีผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายกลับเข้าไปทำร้ายจำเลยที่ 1 อีกเช่นนี้ ไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ตามป.อ. มาตรา 72
ตามพฤติการณ์แห่งคดี ผู้เสียหายมีส่วนก่อเหตุอยู่ด้วย เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รับโทษจำคุกมาก่อนและโทษจำคุกก็เพียงเล็กน้อย กรณีจึงมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ตาม ป.อ. มาตรา 56

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4713/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกเคหสถาน แม้มีเจตนาเพื่อตามหาบุคคล แต่หากเจ้าของบ้านไม่ยินยอมและห้ามปราม ก็เป็นความผิด
จำเลยกับพวกไปที่บ้านผู้เสียหายเนื่องจากต้องการพบ ม. แล้วได้พากันขึ้นไปบนชั้นที่สองของบ้านผู้เสียหายโดยบุตรของ ผู้เสียหายซึ่งอยู่อาศัยในบ้านนั้นด้วยไม่ยินยอมและห้ามปรามแล้ว การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๕ ประกอบ มาตรา ๓๖๔, ๘๓.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4713/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกเคหสถาน แม้เจ้าของบ้านห้ามปรามแล้ว ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยกับพวกไปที่บ้านผู้เสียหายเนื่องจากต้องการพบ ม.แล้วได้พากันขึ้นไปบนชั้นที่สองของบ้านผู้เสียหายโดยบุตรของผู้เสียหายซึ่งอยู่อาศัยในบ้านนั้นด้วยไม่ยินยอม และห้ามปรามแล้วการกระทำของจำเลยกับพวกเป็นความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 365 ประกอบ มาตรา 364, 83

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5189/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะจากการถูกทำร้ายหลังเข้าไปห้ามเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างบุตรเขยและภรรยา
ผู้ตายกับภรรรยาซึ่งเป็นบุตรสาวจำเลยทะเลาะกันอยู่ในห้องนอนและมีเสียงร้องดัง จำเลยจึงเปิดประตูห้องเข้าไปดูเพื่อระงับเหตุ เห็นผู้ตายกำลังนั่งคร่อมเอามือจับที่คอภรรยาอยู่ จำเลยเดินเข้าไปกระชากไหล่ผู้ตายออกจากภรรยาผู้ตายลุกขึ้นชกจำเลย 1 ที แต่จำเลยหลบทัน แล้วจำเลยคว้าอาวุธปืนลูกซองยาวซึ่งอยู่ในห้องนอนนั้นยิงผู้ตายไป 1 นัดถึงแก่ความตาย ดังนี้ การที่จำเลยเข้าไประงับเหตุระหว่างผู้ตายกับภรรยา แต่กลับถูกผู้ตายซึ่งเป็นบุตรเขยชกทำร้ายเอานั้นนับได้ว่าผู้ตายได้กระทำการอันไม่สมควรและโดยปราศจากความเคารพยำเกรงต่อจำเลยผู้เป็นพ่อตาซึ่งมีอายุมากแล้ว เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงและด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในขณะนั้นจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1662/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดอาวุธปืนเพื่อห้ามปรามวิวาท ไม่ถือเป็นความผิดฐานมีอาวุธปืนและพกพา
จำเลยแย่งอาวุธปืนของกลางมาจากพวกของจำเลยซึ่งทะเลาะวิวาทกันและยึดถือไว้ชั่วขณะหนึ่งเพื่อบรรเทาเหตุการณ์ร้ายแรงซึ่งอาจเกิดขึ้น ดังนี้เป็นการยึดถือไว้ชั่วคราวจึงไม่ใช่มีอาวุธปืนของกลางไว้ในครอบครอง และจำเลยไม่ได้พาอาวุธปืนของกลางเคลื่อนที่ไป จึงไม่ใช่พาอาวุธปืนของกลางไปในที่สาธารณสถาน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยุติการร่วมกระทำผิด: จำเลยเข้าห้ามปรามก่อนการกระทำรุนแรงเพิ่มเติม จึงไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตาย
จำเลยมีเรื่องทะเลาะวิวาทและชกต่อยกับผู้ตาย จำเลยสู้ไม่ได้จึงไปเรียกส. และ ข. พวกของจำเลยมาช่วย ส. กับ ข. มารุมชกต่อยจนผู้ตายสู้ไม่ได้และร้องว่ายอมแพ้ แต่ ส.กับ ข. ได้ใช้ไม้ตีผู้ตายอีก จำเลยเห็นว่าทำรุนแรงเกินไปจึงเข้าห้ามปราม ส. กับ ข. ไม่ยอมหยุด บอกว่าจะเอาให้ตาย ผู้ตายวิ่งหนี ส. กับ ข. วิ่งไล่ตามไปและใช้ไม้ตีผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ดังนี้ การร่วมกระทำผิดของจำเลยย่อมยุติลง เมื่อจำเลยเข้าห้ามปราม การทำร้ายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจึงมิใช่เป็นการกระทำของจำเลย การที่จำเลยพาพวกมาทำร้ายผู้ตาย หาเป็นผลให้ถือว่าการทำร้ายของพวกจำเลยเป็นการทำร้ายของจำเลยด้วยตลอดไปไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2527

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยุติการร่วมกระทำผิดในคดีทำร้ายร่างกายถึงแก่ความตาย เมื่อผู้กระทำเข้าห้ามปราม
จำเลยมีเรื่องทะเลาะวิวาทและชกต่อยกับผู้ตาย จำเลยสู้ไม่ได้จึงไปเรียกส. และ ข. พวกของจำเลยมาช่วยส. กับ ข. มารุมชกต่อยจนผู้ตายสู้ไม่ได้และร้องว่ายอมแพ้ แต่ ส.กับ ข. ได้ใช้ไม้ตีผู้ตายอีกจำเลยเห็นว่าทำรุนแรง เกินไปจึงเข้าห้ามปราม ส. กับ ข. ไม่ยอมหยุดบอกว่าจะ เอาให้ตาย ผู้ตายวิ่งหนี ส. กับ ข. วิ่งไล่ตามไปและใช้ไม้ตีผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ดังนี้ การร่วมกระทำผิดของ จำเลยย่อมยุติลง เมื่อจำเลยเข้าห้ามปราม การทำร้ายจน เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงมิใช่เป็นการกระทำของ จำเลย การที่จำเลยพาพวกมาทำร้ายผู้ตาย หาเป็นผลให้ถือว่าการทำร้ายของพวกจำเลยเป็นการทำร้ายของจำเลยด้วยตลอดไป ไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
of 2