พบผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5156/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าตรวจสอบอาคารพิพาทต้องระบุฝ่ายที่เอนมาเป็นเหตุละเมิดชัดเจน มิใช่ระบุเพียงอาคารทั้งสองหลังเอียง
โจทก์ จำเลยตกลงท้ากันว่าหากโยธาธิการจังหวัดหรือวิศวกรของโยธาธิการจังหวัดชี้ขาดว่าตึกของโจทก์หรือของจำเลยเป็นฝ่ายที่เอนมาจนเป็นเหตุให้เกิดการละเมิด คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้คดี ส่วนเรื่องค่าเสียหายคู่ความท้ากันขอให้โยธาธิการจังหวัดหรือวิศวกรของโยธาธิการจังหวัดเป็นผู้ตรวจสอบความเสียหายและคิดคำนวณโดยให้ระบุค่าแรงและค่าวัสดุในการซ่อมแซมตึกไว้ด้วยวิศวกรของโยธาธิการจังหวัดไปตรวจสอบตึกพิพาทของโจทก์ จำเลย แล้วมีหนังสือของโยธาธิการจังหวัดตอบว่า อาคารพิพาทเกิดจากการเอียงของตัวอาคารทั้งสองหลังโดยแต่ละหลังต่างก็เอียงเข้าหากันสาเหตุไม่น่าจะเกิดจากการออกแบบหรือการควบคุมงานก่อสร้างที่ผิดพลาดเนื่องจากอาคารทั้งสองหลังมีอายุการใช้งานมานานกว่า 10 ปีแล้วทั้งไม่พบลักษณะการวิบัติของโครงสร้างอาคารที่พอจะชี้ประเด็นว่าเกิดจากความผิดพลาดของการออกแบบและควบคุมงานก่อสร้าง เช่น คาน หรือเสาแตกหักแต่อย่างใด การเอียงตัวของอาคารทั้งสองหลังน่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คือน่าจะเกิดจากความสามารถในการรับน้ำหนักของดินใต้ฐานรากอาคารทั้งสองหลังมีความสามารถในการรับน้ำหนักลดลงน่าจะเกิดจากมีการไหลซึมของน้ำผิวดินลงไปสู่ดินใต้ฐานรากอาคารทำให้ดินใต้ฐานรากอาคารอ่อนตัวลงหรือเกิดจากระดับน้ำใต้ดินที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนเรื่องค่าเสียหายนั้นคู่กรณีแต่ละฝ่ายต่างน่าจะรับผิดชอบค่าเสียหายและซ่อมแซมส่วนที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง ดังนี้หนังสือของโยธาธิการจังหวัดยังไม่เป็นการชี้ขาดประเด็นพิพาทตามคำท้า คู่ความต้องดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในอาคารพิพาทที่ก่อสร้างบนที่ดินของผู้อื่น แม้มีข้อตกลงให้กรรมสิทธิ์แต่ต้องจดทะเบียนจึงมีผลต่อบุคคลภายนอก
ข้อตกลงตามหนังสือก่อสร้างต่างตอบแทนว่า โจทก์ตกลงก่อสร้างอาคารพิพาทบนที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยโจทก์จะได้รับกรรมสิทธิ์ในตัวอาคารพิพาทเพื่อประกอบธุรกิจสถานบันเทิงจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 ข้อตกลงดังกล่าวแม้มีผลทำให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในอาคารพิพาทตามข้อยกเว้นในเรื่องส่วนควบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 แต่ก็เป็นเพียงบุคคลสิทธิที่อาจเรียกร้องและบังคับระหว่างกันเองได้เท่านั้น ข้อตกลงที่ให้โจทก์ได้รับกรรมสิทธิ์เหนืออาคารพิพาทเป็นทรัพย์สิทธิ์อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง โจทก์และจำเลยที่ 1 มิได้ทำการจดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ใน อาคารต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ใน อาคารพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินจึงไม่บริบูรณ์ ใช้ยันต่อจำเลยที่ 2 ผู้รับจำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5265/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเช่าช่วงอาคารพิพาท: การจดทะเบียนเช่าช่วงโดยผู้มีสิทธิที่ดีกว่า ย่อมไม่เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาโอนสิทธิการเช่าช่วงอาคารที่กำลังก่อสร้างรวม 3 คูหาให้แก่โจทก์ โจทก์ชำระราคาครบถ้วนในวันทำสัญญา ในระหว่างการก่อสร้างยังไม่เสร็จ จำเลยที่ 1ได้เอาสิทธิการเช่าช่วงที่ได้ขายให้โจทก์แล้วนั้นไปโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 ทั้งสามคูหา โดยจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิการเช่าได้ทำสัญญาจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงอาคารไปแล้ว 2 คูหา โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3อ้างว่าเป็นนิติกรรมที่ทำให้โจทก์เสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลที่โจทก์ขอเพิกถอนได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 แต่ตามบทกฎหมายดังกล่าว ผู้ที่จะฟ้องขอเพิกถอนได้คือเจ้าหนี้ โดยฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมที่ลูกหนี้ได้กระทำกับบุคคลที่สาม จำเลยที่ 2 หรือจำเลยที่ 3 หาใช่ลูกหนี้ของโจทก์ไม่นิติกรรมระหว่างจำเลยทั้งสองจึงไม่ใช่การฉ้อฉลที่โจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนได้ ตามมาตรา 237
แม้โจทก์จะทำหนังสือสัญญารับโอนสิทธิการเช่าช่วงอาคารพิพาทจากจำเลยที่ 1ก่อนจำเลยที่ 2 แต่ขณะที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญารับโอนสิทธิการเช่าช่วงอาคารพิพาทจากจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ไม่รู้ว่าโจทก์ได้ทำสัญญารับโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทจากจำเลยที่ 1 ไว้ก่อนแล้วจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 รับโอนสิทธิการเช่าช่วงจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต และได้ความด้วยว่าจำเลยที่ 2 ได้เสียเงินกินเปล่าให้จำเลยที่ 1 เช่นเดียวกับโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 เสียเงินไปกว่า 2 ล้านบาท จำเลยที่ 2 ได้เข้าครอบครองอาคารพิพาทแล้ว จึงมีสิทธิในอาคารพิพาทดีกว่าโจทก์แม้ต่อมาโจทก์จะได้ฟ้องจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 กับ ส. กรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ขอให้เพิกถอนการโอนสิทธิเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และได้ร้องขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นได้สั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมผูกพันหรือเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสิทธิการเช่าช่วงอาคารพิพาทและฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามรู้ถึงคำสั่งห้ามชั่วคราวแล้ว จำเลยที่ 2 ยังได้ไปทำนิติกรรมจดทะเบียนเช่าช่วงอาคารพิพาทจากจำเลยที่ 3 ก็ถือไม่ได้ว่าการทำนิติกรรมดังกล่าวกระทำไปโดยใช้สิทธิไม่สุจริต เพราะจำเลยที่ 2 มีสิทธิในอาคารพิพาทดีกว่าโจทก์อยู่แล้ว ส่วนการที่จำเลยที่ 3 จดทะเบียนให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าช่วงอาคารพิพาทนั้นก็เป็นการจดทะเบียนให้แก่ผู้มีสิทธิดีกว่าโจทก์ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาที่กระทำโดยไม่สุจริต อันโจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5
แม้โจทก์จะทำหนังสือสัญญารับโอนสิทธิการเช่าช่วงอาคารพิพาทจากจำเลยที่ 1ก่อนจำเลยที่ 2 แต่ขณะที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญารับโอนสิทธิการเช่าช่วงอาคารพิพาทจากจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ไม่รู้ว่าโจทก์ได้ทำสัญญารับโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทจากจำเลยที่ 1 ไว้ก่อนแล้วจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 รับโอนสิทธิการเช่าช่วงจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต และได้ความด้วยว่าจำเลยที่ 2 ได้เสียเงินกินเปล่าให้จำเลยที่ 1 เช่นเดียวกับโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 เสียเงินไปกว่า 2 ล้านบาท จำเลยที่ 2 ได้เข้าครอบครองอาคารพิพาทแล้ว จึงมีสิทธิในอาคารพิพาทดีกว่าโจทก์แม้ต่อมาโจทก์จะได้ฟ้องจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 กับ ส. กรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ขอให้เพิกถอนการโอนสิทธิเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และได้ร้องขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นได้สั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมผูกพันหรือเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสิทธิการเช่าช่วงอาคารพิพาทและฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามรู้ถึงคำสั่งห้ามชั่วคราวแล้ว จำเลยที่ 2 ยังได้ไปทำนิติกรรมจดทะเบียนเช่าช่วงอาคารพิพาทจากจำเลยที่ 3 ก็ถือไม่ได้ว่าการทำนิติกรรมดังกล่าวกระทำไปโดยใช้สิทธิไม่สุจริต เพราะจำเลยที่ 2 มีสิทธิในอาคารพิพาทดีกว่าโจทก์อยู่แล้ว ส่วนการที่จำเลยที่ 3 จดทะเบียนให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าช่วงอาคารพิพาทนั้นก็เป็นการจดทะเบียนให้แก่ผู้มีสิทธิดีกว่าโจทก์ สัญญาเช่าช่วงดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาที่กระทำโดยไม่สุจริต อันโจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2725/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้ซื้ออาคารพิพาทจากการขายทอดตลาดต้องรับสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าเดิม
จำเลยซื้ออาคารพิพาทอย่างสังหาริมทรัพย์โดยต้องรื้อถอนไปเมื่ออาคารพิพาทยังอยู่ในอายุสัญญาเช่า ระหว่างโจทก์กับเจ้าของเดิมจำเลยผู้ซื้อต้องรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่า จำเลยต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าจนกว่าสัญญาเช่าสิ้นสุดลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1631/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าครบกำหนด สัญญาต่างตอบแทนไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพสัญญาเช่าเดิมได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท และเรียกค่าเสียหายมาด้วยทุนทรัพย์ไม่เกินสองพันบาท จำเลยมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่า เป็นคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมา ก็ถือว่าไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ามาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคดีมีทุนทรัพย์ 12,500 บาท ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ ฎีกาในข้อเท็จจริง
จำเลยเช่าอาคารพิพาทจากเจ้าของเดิม มีกำหนดเวลาแน่นอนเมื่อโจทก์ได้กรรมสิทธิ์อาคารพิพาทแล้ว จำเลยก็คงเช่าต่อมาตามกำหนดเวลาเดิม ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว โจทก์มาฟ้องขับไล่ จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ได้ตกลงกับจำเลย ยอมให้จำเลยเช่าต่ออีก 5 ปี โดยให้จำเลยทาสีอาคารถมปรับพื้นดินอาคารให้สูงขึ้น ทำห้องน้ำห้องส้วมใหม่ก่อนครบกำหนดด้วยทุนทรัพย์ของจำเลย จำเลยได้จัดการทำตามที่ตกลงสิ้นเงิน 12,500 บาท จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนโจทก์ขับไล่จำเลยไม่ได้และต้องจดทะเบียนการเช่าให้จำเลยต่อไปอีก 5 ปี ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวแล้วไม่มีลักษณะที่จะทำให้การเช่าอาคารพิพาทกลายเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เพราะอาคารพิพาทมีมาแต่เดิม จำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้างขึ้นใหม่ในฐานะที่จำเลยเป็นผู้เช่า จำเลยยังมีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาและซ่อมแซมอาคารพิพาทอยู่แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 553 แม้จำเลยจะได้ทาสีอาคาร ถมปรับพื้นดินอาคารให้สูงขึ้นทำห้องน้ำห้องส้วมใหม่จริง ก็เพื่อความสวยงามและเพื่อความสะดวกสบายในการอยู่ของจำเลยเอง เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในอาคารพิพาทได้ต่อไป
จำเลยเช่าอาคารพิพาทจากเจ้าของเดิม มีกำหนดเวลาแน่นอนเมื่อโจทก์ได้กรรมสิทธิ์อาคารพิพาทแล้ว จำเลยก็คงเช่าต่อมาตามกำหนดเวลาเดิม ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว โจทก์มาฟ้องขับไล่ จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ได้ตกลงกับจำเลย ยอมให้จำเลยเช่าต่ออีก 5 ปี โดยให้จำเลยทาสีอาคารถมปรับพื้นดินอาคารให้สูงขึ้น ทำห้องน้ำห้องส้วมใหม่ก่อนครบกำหนดด้วยทุนทรัพย์ของจำเลย จำเลยได้จัดการทำตามที่ตกลงสิ้นเงิน 12,500 บาท จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนโจทก์ขับไล่จำเลยไม่ได้และต้องจดทะเบียนการเช่าให้จำเลยต่อไปอีก 5 ปี ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวแล้วไม่มีลักษณะที่จะทำให้การเช่าอาคารพิพาทกลายเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เพราะอาคารพิพาทมีมาแต่เดิม จำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้างขึ้นใหม่ในฐานะที่จำเลยเป็นผู้เช่า จำเลยยังมีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาและซ่อมแซมอาคารพิพาทอยู่แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 553 แม้จำเลยจะได้ทาสีอาคาร ถมปรับพื้นดินอาคารให้สูงขึ้นทำห้องน้ำห้องส้วมใหม่จริง ก็เพื่อความสวยงามและเพื่อความสะดวกสบายในการอยู่ของจำเลยเอง เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในอาคารพิพาทได้ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองอาคารพิพาทโดยชอบ ผู้รับเหมาช่วงไม่มีสิทธิเรียกร้องต่อผู้ว่าจ้างเหมาช่วง
จำเลยจ้างเหมา ม. ปลูกสร้างโรงเรียนในที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครอง โจทก์เป็นผู้รับเหมาช่วงจาก ม.เมื่อ ม. คู่สัญญาจำเลยได้มอบอาคารพิพาทซึ่งก่อสร้างให้แก่จำเลยเป็นลายลักษณ์อักษรตามข้อตกลงในหนังสือสัญญาที่ทำไว้ต่อกันจึงเป็นการที่จำเลยรับมอบอาคารพิพาทไว้โดยชอบ และย่อมเป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิใช้อาคารได้โดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยเข้าใช้อาคารพิพาทจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ส่วนการที่ ม. ได้ทำสัญญากับโจทก์เกี่ยวกับอาคารพิพาทนั้น เป็นเรื่องระหว่าง ม. กับโจทก์เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกด้วย เมื่อ ม. ทำผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์โจทก์ก็ต้องฟ้องร้องว่ากล่าวเอาแก่ ม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์และสัญญาเช่าอาคารพิพาท การฟ้องเรียกค่าเช่าต้องสอดคล้องกับฐานะผู้ให้เช่าที่แท้จริง
ตามคดีแพ่งแดงที่ 135/2508 ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1เป็นคดีแรกนั้น. โจทก์บรรยายฟ้องว่าอาคารพิพาทเป็นทรัพย์ของชาวอินเดีย. โจทก์เป็นเพียงผู้จัดการดูแลไม่ได้ว่าเป็นของโจทก์. และตามสัญญาประนีประนอมยอมความ. โจทก์และจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าที่ดินและอาคารพิพาทเป็นของกลางคือของโรงพระ หาใช่ของโจทก์ไม่. การที่โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 เช่าอาคารพิพาทต่อไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ. ก็เป็นการกระทำแทนในฐานะผู้จัดการดูแลอาคารพิพาทของโรงพระ หาใช่ให้เช่าในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของอาคารพิพาทส่วนตัวไม่. แม้ตามคดีแพ่งแดงที่ 161/2508 ที่โจทก์ฟ้องจำเลย ที่ 1 ในภายหลัง ขอให้ชำระค่าเช่าอาคารพิพาท. โจทก์ยอมรับว่าอาคารพิพาทเป็นของโรงพระ. โรงพระมอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องแทน. แต่เนื่องจากโรงพระไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล.มอบอำนาจให้โจทก์ดำเนินคดีแทนไม่ได้. ศาลชั้นต้นจึงยกฟ้อง โจทก์กลับมาฟ้องคดีนี้อ้างว่าอาคารพิพาทเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของโจทก์. เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่. ฝ่าฝืนสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ 135/2508 ซึ่งโจทก์ยอมรับว่าอาคารพิพาทเป็นของโรงพระ. ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในฐานะส่วนตัวเรียกค่าเช่า. และขอให้ขับไล่จำเลย.
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์. ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมรับว่าอาคารพิพาทเป็นของโจทก์และขอเช่าต่อไปในอัตราค่าเช่าเดือนละ 200 บาท. ศาลพิพากษาตามยอม. ต่อมาโจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากอาคารพิพาท ให้ชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหาย. ดังนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้จัดการดูแลอาคารพิพาทของโรงพระตกลงยอมให้จำเลยเช่าต่อไปในอัตราค่าเช่าเดือนละ 200 บาท. ถือได้ว่าสัญญาประนีประนอมนี้เป็นสัญญาเช่าอาคารพิพาทระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่ากับจำเลยเท่านั้น. เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าโจทก์ก็ต้องฟ้องขอให้จำเลยชำระ. จะไปร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างทันทีไม่ได้. เพราะไม่ใช่เรื่องโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอม. และศาลพิพากษาตามยอม ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเช่าเดือนต่อๆ ไปให้แก่โจทก์.
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์. ต่อมาได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมรับว่าอาคารพิพาทเป็นของโจทก์และขอเช่าต่อไปในอัตราค่าเช่าเดือนละ 200 บาท. ศาลพิพากษาตามยอม. ต่อมาโจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากอาคารพิพาท ให้ชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหาย. ดังนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้จัดการดูแลอาคารพิพาทของโรงพระตกลงยอมให้จำเลยเช่าต่อไปในอัตราค่าเช่าเดือนละ 200 บาท. ถือได้ว่าสัญญาประนีประนอมนี้เป็นสัญญาเช่าอาคารพิพาทระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่ากับจำเลยเท่านั้น. เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าโจทก์ก็ต้องฟ้องขอให้จำเลยชำระ. จะไปร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างทันทีไม่ได้. เพราะไม่ใช่เรื่องโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอม. และศาลพิพากษาตามยอม ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเช่าเดือนต่อๆ ไปให้แก่โจทก์.