พบผลลัพธ์ทั้งหมด 9 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2505/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตอำนาจรัฐมนตรีสั่งการกรณีปิดงาน/นัดหยุดงาน และสิทธิลูกจ้างถูกเลิกจ้าง
อำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมที่จะสั่งการตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 35 นั้น มีได้เฉพาะกรณีที่นายจ้างปิดงานหรือลูกจ้างนัดหยุดงานอยู่เท่านั้น เมื่อนายจ้างได้เลิกจ้างลูกจ้างไปก่อนมีการปิดงานหรือการนัดหยุดงาน รัฐมนตรีย่อมไม่มีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างที่นายจ้างได้เลิกจ้างแล้วกลับเข้าทำงานพร้อมทั้งจ่ายค่าจ้างตามอัตราที่เคยจ่ายแก่ลูกจ้างได้ กรณีไม่อาจตีความการใช้อำนาจของรัฐมนตรีตามมาตรา 35 ให้รวมไปถึงลูกจ้างที่นายจ้างได้เลิกจ้างไปก่อนแล้วได้ แม้การเลิกจ้างนั้นจะไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 121 ก็ตาม เพราะหากตีความเช่นนั้น บทบัญญัติมาตรา124 ก็จะไม่มีผลบังคับ
เมื่อนายจ้างมีคำสั่งเลิกจ้างลูกจ้างแล้ว แม้การเลิกจ้างดังกล่าวจะขัดต่อกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องถือว่าการแสดงเจตนาของนายจ้างที่มีคำสั่งเลิกจ้างมีผลให้ลูกจ้างหมดสภาพการเป็นลูกจ้างทันที หากการเลิกจ้างนั้นเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมหรือเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด ฝ่ายลูกจ้างก็มีสิทธิที่จะดำเนินคดีแก่นายจ้างได้ทั้งทางแพ่งและทางอาญาเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก เพราะกฎหมายได้บัญญัติขั้นตอนให้ดำเนินการต่อไปเป็นทางแก้ไว้แล้ว กล่าวคือ ฝ่ายลูกจ้างซึ่งเป็นผู้เสียหายอาจยื่นคำร้องกล่าวหานายจ้างว่าได้กระทำการอันไม่เป็นธรรมต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่มีการฝ่าฝืนตามมาตรา 124แห่ง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ก็จะต้องดำเนินการวินิจฉัยชี้ขาดภายในเก้าสิบวันต่อไป หากฝ่ายใดไม่พอใจคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าวก็อาจนำคดีมาสู่ศาลแรงงานได้ แต่มิใช่ว่าการกระทำใดเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมแล้ว ศาลแรงงานต้องดำเนินการชี้ขาดเสียเองโดยไม่ต้องให้คู่กรณีไปว่ากล่าวกันเองต่างหาก
เมื่อนายจ้างมีคำสั่งเลิกจ้างลูกจ้างแล้ว แม้การเลิกจ้างดังกล่าวจะขัดต่อกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องถือว่าการแสดงเจตนาของนายจ้างที่มีคำสั่งเลิกจ้างมีผลให้ลูกจ้างหมดสภาพการเป็นลูกจ้างทันที หากการเลิกจ้างนั้นเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมหรือเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด ฝ่ายลูกจ้างก็มีสิทธิที่จะดำเนินคดีแก่นายจ้างได้ทั้งทางแพ่งและทางอาญาเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก เพราะกฎหมายได้บัญญัติขั้นตอนให้ดำเนินการต่อไปเป็นทางแก้ไว้แล้ว กล่าวคือ ฝ่ายลูกจ้างซึ่งเป็นผู้เสียหายอาจยื่นคำร้องกล่าวหานายจ้างว่าได้กระทำการอันไม่เป็นธรรมต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่มีการฝ่าฝืนตามมาตรา 124แห่ง พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ก็จะต้องดำเนินการวินิจฉัยชี้ขาดภายในเก้าสิบวันต่อไป หากฝ่ายใดไม่พอใจคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าวก็อาจนำคดีมาสู่ศาลแรงงานได้ แต่มิใช่ว่าการกระทำใดเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมแล้ว ศาลแรงงานต้องดำเนินการชี้ขาดเสียเองโดยไม่ต้องให้คู่กรณีไปว่ากล่าวกันเองต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2505/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจรัฐมนตรีสั่งการกรณีแรงงานสัมพันธ์: การเลิกจ้างก่อนการปิดงาน/นัดหยุดงาน ไม่อำนาจสั่งให้รับกลับเข้าทำงาน
อำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ที่จะสั่งการตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 35 นั้น มิได้เฉพาะกรณีที่นายจ้างปิดงานหรือลูกจ้าง นัดหยุดงานอยู่เท่านั้น เมื่อนายจ้างได้เลิกจ้างลูกจ้างไปก่อนมีการปิดงานหรือการนัดหยุดงาน รัฐมนตรีย่อมไม่มีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างที่นายจ้างได้เลิกจ้างแล้วกลับเข้าทำงานพร้อมทั้งจ่ายค่าจ้างตามอัตราที่เคยจ่ายแก่ลูกจ้างได้ กรณีไม่อาจตีความการใช้อำนาจของรัฐมนตรีตามมาตรา 35 ให้รวมไปถึงลูกจ้างที่นายจ้างได้เลิกจ้างไปก่อนแล้วได้ แม้การเลิกจ้างนั้นจะไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 ก็ตาม เพราะหากตีความเช่นนั้น บทบัญญัติมาตรา 124 ก็จะไม่มีผลบังคับ เมื่อนายจ้างมีคำสั่งเลิกจ้างลูกจ้างแล้ว แม้การเลิกจ้างดังกล่าวจะขัดต่อกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องถือว่าการแสดงเจตนาของนายจ้างที่มีคำสั่งเลิกจ้างมีผลให้ลูกจ้างหมดสภาพการเป็นลูกจ้างทันที หากการเลิกจ้างนั้นเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมหรือเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใดฝ่ายลูกจ้างก็มีสิทธิที่จะดำเนินคดีแก่นายจ้างได้ทั้งทางแพ่งและทางอาญาเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก เพราะกฎหมายบัญญัติขั้นตอนให้ดำเนินการต่อไปเป็นทางแก้ไว้แล้ว กล่าวคือ ฝ่ายลูกจ้างซึ่งเป็นผู้เสียหายอาจยื่นคำร้องกล่าวหานายจ้างว่าได้กระทำการอันไม่เป็นธรรมต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่มีการฝ่าฝืนตามมาตรา 124 แห่ง พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 และคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ก็จะต้องดำเนินการวินิจฉัยชี้ขาดภายในเก้าสิบวันต่อไป หากฝ่ายใดไม่พอใจคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าวก็อาจนำคดีมาสู่ศาลแรงงานได้ แต่มิใช่ว่าการกระทำใดเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมแล้ว ศาลแรงงานก็ต้องดำเนินการชี้ขาดเสียเองโดยไม่ต้องให้คู่กรณีไปว่ากล่าวกันเองต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3697/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจรัฐมนตรีสั่งให้สมาชิกสภาเทศบาลพ้นจากตำแหน่ง กรณีประพฤติเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์
บทบัญญัติตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 19ที่บัญญัติว่า "สมาชิกภาพแห่งสภาเทศบาลย่อมสิ้นสุดลงเมื่อ....(7)รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งให้ออกโดยเห็นว่ามีความประพฤติในทางจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ ของ ตำแหน่งหรือเสื่อมเสียแก่เทศบาล หรือราชการ...." นั้น เป็นกรณีที่กฎหมายให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าความประพฤติของสมาชิกสภาเทศบาลตามที่ปรากฏนั้นเป็นการนำมาซึ่ง ความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ ของ ตำแหน่งหรือเสื่อมเสียแก่เทศบาลหรือราชการหรือไม่ ตามแต่กรณีเป็นเรื่อง ๆ ไป โดยไม่จำต้องถึงขนาดว่าจะต้องขาดคุณสมบัติในการเป็นสมาชิกสภาเทศบาลตามที่กฎหมาย กำหนดหรือไม่ โจทก์ได้ลักลอบเล่นการพนันจนถูกศาลพิพากษาลงโทษเช่นนี้การที่จำเลยที่ 1 พิจารณาความประพฤติของโจทก์แล้วเห็นว่าเป็น การนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ ของ ตำแหน่งนั้น จึงเป็นการ ใช้ดุลพินิจในกรอบอำนาจตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น คำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ให้โจทก์ออกจากสมาชิกภาพแห่งสภาพเทศบาลเมืองสุรินทร์จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาเทศบาลเมืองสุรินทร์ว่างลง จำเลยที่ 2 ก็มีหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 16 จัดให้มีการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2751/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตเปิดร้านขายยา: การปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขและอำนาจของรัฐมนตรี
โจทก์ขออนุญาตเปิดร้านขายยาแผนปัจจุบัน ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่อนุญาตเพราะมีร้านขายยาแผนปัจจุบันในอำเภอที่โจทก์ขอเปิดครบจำนวนตามที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดจำนวนสถานที่ขายยาได้กำหนดไว้แล้ว โจทก์จึงอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรัฐมนตรีพิจารณาแล้วไม่อนุญาตและแจ้งคำวินิจฉัยให้โจทก์ทราบแล้วดังนี้ คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีจึงเป็นที่สุด ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติ ยา พ.ศ. 2510 มาตรา 18 การกระทำของผู้ว่าราชการจังหวัดจำเลยที่ 1 และกระทรวงสาธารณสุข จำเลยที่ 2 เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบแบบแผนของทางราชการและบทบัญญัติกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2736/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการทำเหมือง, การเพิกถอนประทานบัตร, อำนาจรัฐมนตรี, การกระทำผิด พ.ร.บ.แร่, ค่าเสียหายจากการละเมิด
ศ. มีชื่อเป็นผู้ถือประทานบัตร การที่โจทก์เข้าทำเหมืองในเขตเหมืองแร่ตามประทานบัตรก็โดยอาศัยสิทธิของ ศ.โจทก์ไม่ได้เป็นผู้รับช่วงการทำเหมืองหรือได้รับโอนประทานบัตรจาก ศ. ตามมาตรา 77, 78 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510สิทธิการทำเหมืองตามประทานบัตรยังเป็น ของ ศ. การที่จำเลยที่ 1สั่งเพิกถอนประทานบัตร ดังกล่าว หาเป็นการโต้แย้งสิทธิการทำเหมืองของโจทก์ไม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
การที่โจทก์ทำเหมืองผิดจากที่ได้รับอนุญาตตามประทานบัตร ปล่อยทำนบเก็บกักน้ำขุ่นข้นดินทรายที่ชิดทางน้ำพังอัน เป็นการกระทำฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่ซึ่งจะเป็นเหตุให้รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 138 นั้น อำนาจของรัฐมนตรีตามกฎหมายดังกล่าวแตกต่างจากอำนาจของรัฐมนตรีในการสั่งเพิกถอนประทานบัตรที่กำหนดไว้ในมาตรา 85, 86ซึ่งบัญญัติ ไว้ในหมวดทำเหมือง แต่มาตรา 138 บัญญัติไว้ในหมวดกำหนดโทษซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่ารัฐมนตรีจะมีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรตามมาตรา 138 เพราะเหตุที่ผู้ถือประทานบัตรกระทำผิดพระราชบัญญัติแร่ได้ ต่อเมื่อผู้ถือประทานบัตรได้รับโทษทางอาญาตามที่กฎหมายกำหนดไว้เสียก่อน เมื่อไม่ปรากฏว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กระทำอันมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510ได้มีการดำเนินคดีให้ มีการลงโทษโจทก์ตามพระราชบัญญัติแร่มาตรา 138 รัฐมนตรี จึงไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรของโจทก์การที่ จำเลยที่ 1 สั่งเพิกถอนประทานบัตรที่ออกให้โจทก์จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่อาจทำเหมืองได้ ต่อไปจนสิ้นกำหนดตามประทานบัตร โจทก์ ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ได้
การที่โจทก์ทำเหมืองผิดจากที่ได้รับอนุญาตตามประทานบัตร ปล่อยทำนบเก็บกักน้ำขุ่นข้นดินทรายที่ชิดทางน้ำพังอัน เป็นการกระทำฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่ซึ่งจะเป็นเหตุให้รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 138 นั้น อำนาจของรัฐมนตรีตามกฎหมายดังกล่าวแตกต่างจากอำนาจของรัฐมนตรีในการสั่งเพิกถอนประทานบัตรที่กำหนดไว้ในมาตรา 85, 86ซึ่งบัญญัติ ไว้ในหมวดทำเหมือง แต่มาตรา 138 บัญญัติไว้ในหมวดกำหนดโทษซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่ารัฐมนตรีจะมีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรตามมาตรา 138 เพราะเหตุที่ผู้ถือประทานบัตรกระทำผิดพระราชบัญญัติแร่ได้ ต่อเมื่อผู้ถือประทานบัตรได้รับโทษทางอาญาตามที่กฎหมายกำหนดไว้เสียก่อน เมื่อไม่ปรากฏว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กระทำอันมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510ได้มีการดำเนินคดีให้ มีการลงโทษโจทก์ตามพระราชบัญญัติแร่มาตรา 138 รัฐมนตรี จึงไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรของโจทก์การที่ จำเลยที่ 1 สั่งเพิกถอนประทานบัตรที่ออกให้โจทก์จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่อาจทำเหมืองได้ ต่อไปจนสิ้นกำหนดตามประทานบัตร โจทก์ ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1363/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อัตราค่าภาคหลวงตามสัมปทานและกฎหมาย: อำนาจรัฐมนตรีในการกำหนดอัตราทั่วราชอาณาจักร
เงินตามอัตราที่เรียกเก็บตามสัมปทานนั้น คือภาษีส่วยสาอากรซึ่งผู้รับสัมปทานจะต้องเสียแก่รัฐเพื่อตอบแทนการให้อนุญาต
การเรียกเก็บค่าภาคหลวง แม้แต่เดิมมาจะใช้วิธีกำหนดให้ผู้รับสัมปทานสัญญาไว้ในสัมปทานก็ดี แต่เมื่อมีพระราชบัญญัติป่าไม้ออกใช้บังคับแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นการเรียกเก็บโดยอำนาจกฎหมายโดยตรง ฉะนั้น เมื่อมีกฎหมายให้เรียกเก็บในอัตราใดอย่างใดแล้ว ก็จะต้องเป็นไปตามกฎหมายนั้น
ค่าภาคหลวงนั้น เมื่อกฎหมายให้อำนาจรัฐมนตรีกำหนดเป็นท้องที่ได้แล้ว รัฐมนตรีจะกำหนดในคราวเดียวกัน ให้ใช้อัตรานั้นทั่วทุกท้องที่ในราชอาณาจักรก็ย่อมทำได้ ไม่เป็นการเกินอำนาจแต่อย่างใด
การเรียกเก็บค่าภาคหลวง แม้แต่เดิมมาจะใช้วิธีกำหนดให้ผู้รับสัมปทานสัญญาไว้ในสัมปทานก็ดี แต่เมื่อมีพระราชบัญญัติป่าไม้ออกใช้บังคับแล้วก็เปลี่ยนมาเป็นการเรียกเก็บโดยอำนาจกฎหมายโดยตรง ฉะนั้น เมื่อมีกฎหมายให้เรียกเก็บในอัตราใดอย่างใดแล้ว ก็จะต้องเป็นไปตามกฎหมายนั้น
ค่าภาคหลวงนั้น เมื่อกฎหมายให้อำนาจรัฐมนตรีกำหนดเป็นท้องที่ได้แล้ว รัฐมนตรีจะกำหนดในคราวเดียวกัน ให้ใช้อัตรานั้นทั่วทุกท้องที่ในราชอาณาจักรก็ย่อมทำได้ ไม่เป็นการเกินอำนาจแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 444/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจรัฐมนตรีเพิกถอนใบอนุญาตภาพยนตร์: จำเลยมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่ง ร.ม.ต. แม้สภาพิจารณาอนุมัติ
จำเลยซึ่งมีหน้าที่พิจารณาออกใบอนุญาตทำการฉายภาพยนตร์ไม่อนุญาตให้โจทก์ทำการฉายภาพยนตร์แม้โจทก์อุทธรณ์ต่อสภาพิจารณาภาพยนตร์ ๆ มีคำสั่งอนุมัติให้ฉายได้ ก็ตาม เมื่อรัฐมนตรีมหาดไทยมีคำสั่งไม่อนุมัติ จำเลยย่อมไม่ออกใบอนุญาตให้โจทก์ได้ เพราะรัฐมนตรีมหาดไทยมีอำนาจเพิกถอนใบอนุญาตซึ่งออกตามความใน พ.ร.บ.ภาพยนตร์ พ.ศ.2473 ได้ตามแต่จะเห็นสมควร
เมื่อรัฐมนตรีสั่งไม่อนุมัติแล้ว หากจำเลยจะขืนออกใบอนุญาตให้โจทก์ก็จะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งหรือไร้ผลเพราะรัฐมนตรีย่อมเพิกถอนเสียได้
เมื่อรัฐมนตรีสั่งไม่อนุมัติแล้ว หากจำเลยจะขืนออกใบอนุญาตให้โจทก์ก็จะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งหรือไร้ผลเพราะรัฐมนตรีย่อมเพิกถอนเสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1905/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจรัฐมนตรีในการห้ามใช้เครื่องมือประมงและการใช้ดุลยพินิจของศาลในการริบของกลาง
พ.ร.บ.การประมง 2490 มาตรา 30(2) ให้อำนาจรัฐมนตรีหรือข้าหลวงประจำจังหวัดโดยอนุมัติรัฐมนตรีที่จะกำหนดมิให้ใช้เครื่องมือทำการประมงอย่างหนึ่งอย่างใด ในที่จับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาด ถ้าผู้ใดใช้เครื่องมือที่ห้ามนั้นทำการประมงก็ย่อมมีผิด และถูกริบเครื่องมือนั้นโดยศาลจะใช้ดุลยพินิจไม่ริบ ไม่ได้
แต่ถ้ารัฐมนตรีประกาศห้ามมิให้ทำการประมงด้วยเครื่องมือใดใดในที่จับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาด เว้นแต่เครื่องมือตามที่กำหนดไว้ในประกาศนั้น ดังนี้ ประกาศมิได้ระบุชื่อเครื่องมือชะนิดใดที่ห้ามโดยเด็ดขาดไว้ ฉะนั้นเมื่อเกิดการกระทำผิดตามประกาศนี้ขึ้น ศาลก็ย่อมใช้ดุลยพินิจไม่ริบเครื่องมือนั้นได้ตามความในมาตรา 69 แห่งพ.ร.บ.การประมง 2490
แต่ถ้ารัฐมนตรีประกาศห้ามมิให้ทำการประมงด้วยเครื่องมือใดใดในที่จับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาด เว้นแต่เครื่องมือตามที่กำหนดไว้ในประกาศนั้น ดังนี้ ประกาศมิได้ระบุชื่อเครื่องมือชะนิดใดที่ห้ามโดยเด็ดขาดไว้ ฉะนั้นเมื่อเกิดการกระทำผิดตามประกาศนี้ขึ้น ศาลก็ย่อมใช้ดุลยพินิจไม่ริบเครื่องมือนั้นได้ตามความในมาตรา 69 แห่งพ.ร.บ.การประมง 2490
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1905/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจรัฐมนตรีในการห้ามใช้เครื่องมือประมงและการใช้ดุลพินิจของศาลในการริบของกลาง
พระราชบัญญัติการประมง 2490 มาตรา 30(2) ให้อำนาจรัฐมนตรีหรือข้าหลวงประจำจังหวัดโดยอนุมัติรัฐมนตรีที่จะกำหนดมิให้ใช้เครื่องมือทำการประมงอย่างหนึ่งอย่างใดในที่จับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาด ถ้าผู้ใดใช้เครื่องมือที่ห้ามนั้นทำการประมงก็ย่อมมีผิด และถูกริบเครื่องมือนั้นโดยศาลจะใช้ดุลพินิจไม่ริบไม่ได้
แต่ถ้ารัฐมนตรีประกาศห้ามมิให้ทำการประมงด้วยเครื่องมือใดใดในที่จับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาดไว้ เว้นแต่เครื่องมือตามที่กำหนดไว้ในประกาศนั้น ดังนี้ ประกาศมิได้ระบุชื่อเครื่องมือชนิดใดที่ห้ามโดยเด็ดขาด ฉะนั้นเมื่อเกิดการกระทำผิดตามประกาศนี้ขึ้น ศาลก็ย่อมใช้ดุลพินิจไม่ริบเครื่องมือนั้นได้ตามความ ในมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติการประมง 2490
แต่ถ้ารัฐมนตรีประกาศห้ามมิให้ทำการประมงด้วยเครื่องมือใดใดในที่จับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาดไว้ เว้นแต่เครื่องมือตามที่กำหนดไว้ในประกาศนั้น ดังนี้ ประกาศมิได้ระบุชื่อเครื่องมือชนิดใดที่ห้ามโดยเด็ดขาด ฉะนั้นเมื่อเกิดการกระทำผิดตามประกาศนี้ขึ้น ศาลก็ย่อมใช้ดุลพินิจไม่ริบเครื่องมือนั้นได้ตามความ ในมาตรา 69 แห่งพระราชบัญญัติการประมง 2490