พบผลลัพธ์ทั้งหมด 9 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3346/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกใบอนุญาตค้าน้ำมันและการออกประกาศกระทรวงพาณิชย์จำกัดคุณสมบัติผู้ขออนุญาต ไม่เป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ
จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์เพื่อให้มีการวินิจฉัยชี้ขาดคดีร้องทุกข์แล้วนำคำวินิจฉัยชี้ขาดเสนอนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลให้มีคำสั่งชี้ขาดการร้องทุกข์ โจทก์ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521โจทก์ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตคือ1. ต้องค้าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 2. ต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 1(พ.ศ. 2528) โจทก์มีหน้าที่ต้องสำรองน้ำมันตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิงพ.ศ. 2521 และประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 1(พ.ศ. 2528)ต่อมากรมทะเบียนการค้าได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าใบอนุญาตค้าน้ำมันของโจทก์สิ้นผลแล้ว เพราะโจทก์สำรองน้ำมันไม่ครบปริมาณ 3,600,000 ลิตร ตามที่กฎหมายกำหนดโจทก์ได้มีหนังสือทักท้วงต่อจำเลยที่ 4 ขอให้ทบทวนและเพิกถอนหนังสือดังกล่าว กับโจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อ้างว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไม่มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขในประกาศกระทรวงพาณิชย์ให้ใบอนุญาตเป็นผู้ค้าน้ำมันสิ้นผลและตีความเรื่องการสำรองน้ำมันไม่ถูกต้องและผิดเจตนารมณ์ของกฎหมายพร้อมกับขอให้ใช้มาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวแก่โจทก์คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ (คณะที่ 2) มีมติให้ใช้มาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวแก่โจทก์โดยให้โจทก์ดำเนินการค้าน้ำมันระหว่างรอคำวินิจฉัยไปพลางก่อน และสำรองน้ำมันไม่น้อยกว่า ร้อยละ 3 ของปริมาณที่นำเข้าหรือทำการค้าจริง จำเลยที่ 2 ได้ร่วม เป็นกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ (คณะที่ 2) ด้วย และเห็นพ้องด้วย กับการให้ใช้มาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวแก่โจทก์พร้อมทั้ง ทำบันทึกข้อสังเกตสนับสนุน ต่อมาวันที่ 20 กันยายน 2531 คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ (คณะที่ 5) ได้วินิจฉัยเรื่อง ร้องทุกข์ของโจทก์ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไม่มีอำนาจ ตามความในมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ที่จะกำหนดเงื่อนไขเรื่องการสิ้นผลของใบอนุญาต เป็นผู้ค้าน้ำมันไว้ในประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับที่ 1(พ.ศ. 2528) ได้ และเสนอความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีคำสั่งถอนคืนหนังสือ กรมทะเบียนการค้า ที่แจ้งให้โจทก์ทราบว่าใบอนุญาตค้าน้ำมันของ โจทก์สิ้นผล แต่จำเลยที่ 2 ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการ กฤษฎีกาในขณะนั้นไม่ได้เสนอคำวินิจฉัยดังกล่าวไปให้นายกรัฐมนตรี พิจารณาสั่งการ ครั้นต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำเลยที่ 6 ได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม ในการออกใบอนุญาตเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ตามสำเนาประกาศ ต่อมา ส. ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อจาก จำเลยที่ 2 ได้เสนอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ (คณะที่ 5) ไปยังนายกรัฐมนตรีโดยมีบันทึกข้อสังเกตของจำเลยที่ 2 ประกอบการพิจารณาสั่งการแนบไปด้วย จำเลยที่ 1 ซึ่งดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ควบคุม กำกับ สั่งการ ดูแล คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแทน นายกรัฐมนตรีซึ่งปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้ ที่ประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมายวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีอำนาจตามมาตรา 6 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 กำหนดเงื่อนไขเรื่องการสิ้นผลของใบอนุญาตให้เป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่น ๆ ที่กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องปฏิบัติหรือไม่ ที่ประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมายได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวแล้วเห็นว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์มีอำนาจกำหนดให้การสิ้นผลของใบอนุญาตการเป็นผู้ค้าน้ำมันเป็นเงื่อนไขประการหนึ่งเพื่อให้มีผลเป็นการถอนคืนการอนุญาตเมื่อผู้ได้รับใบอนุญาตไม่ปฏิบัติตาม เงื่อนไขอื่น ๆ ที่กำหนดไว้ได้ จากนั้นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้เสนอคำวินิจฉัยดังกล่าวไปยังจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่ง ตามคำวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมายให้ยกคำร้องทุกข์ ของโจทก์ วันที่ 27 ธันวาคม 2534 กรมทะเบียนการค้าได้มีหนังสือ แจ้งให้โจทก์ทราบถึงคำสั่งยกคำร้องทุกข์ ยังผลให้ใบอนุญาตเป็น ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 สิ้นผลนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจากกรมทะเบียนการค้าตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า เมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ได้วินิจฉัย เรื่องร้องทุกข์เรื่องใดแล้ว ให้เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ คำวินิจฉัยไปยังนายกรัฐมนตรีโดยเร็วที่สุด แต่ต้องไม่เกิน เจ็ดวันนับแต่วันที่ได้มีคำวินิจฉัยเช่นนั้น การที่คณะกรรมการ วินิจฉัยร้องทุกข์ (คณะที่ 5) มีคำวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ เป็นคุณแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2531แต่จำเลยที่ 2 ไปราชการของรัฐสภาที่ประเทศบัลแกเรีย ตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2531 ถึงวันที่ 28 กันยายน 2531 ในระหว่างนั้นมีผู้รักษาราชการ แทนจำเลยที่ 2 ดังนั้น ในขณะที่ครบเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้มี คำวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ของโจทก์ตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติ คณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 คือ วันที่ 27 กันยายน 2531 จำเลยที่ 2 ยังปฏิบัติราชการอยู่ในต่างประเทศ จึงไม่สามารถเสนอ คำวินิจฉัยไปยังนายกรัฐมนตรีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดได้ และ เมื่อล่วงพ้นกำหนดเจ็ดวันไปแล้ว จำเลยที่ 2 กลับจากต่างประเทศ เดือนตุลาคม 2531 แม้จะไม่ได้เสนอคำวินิจฉัยไปยังนายกรัฐมนตรี ในเวลาต่อมา และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาคนใหม่เพิ่งเสนอ ไปยังนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2534 ภายหลังจำเลย ที่ 2 เกษียณอายุราชการไปแล้ว การฝ่าฝืนมาตรา 49 ของจำเลยที่ 2จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้อีกข้อเท็จจริงย่อมฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกาพ.ศ. 2522 แต่เมื่อจำเลยที่ 2 กลับจากไปราชการต่างประเทศแล้วจำเลยที่ 2 ก็ยังมีหน้าที่ต้องเสนอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ (คณะที่ 5) ไปยังนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 49 อยู่การที่จำเลยที่ 2 มิได้เสนอและปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานกว่า 2 ปี จนจำเลยที่ 2 เกษียณอายุราชการ ทั้งกรณีไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รายงานต่อนายกรัฐมนตรีว่าในระหว่างนั้นมีเหตุ ขัดข้องอย่างไรจึงยังไม่สามารถเสนอได้ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาทำให้โจทก์เสียหาย เพราะจำเลยที่ 2 ได้ทำบันทึกข้อสังเกต สนับสนุนเห็นพ้องด้วยกับการให้ใช้มาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว แก่โจทก์มาตั้งแต่เริ่มแรก การให้ใช้มาตรการบรรเทาทุกข์ชั่วคราว แก่โจทก์ในระหว่างที่รอจำเลยที่ 2 เสนอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วินิจฉัยร้องทุกข์ (คณะที่ 5) ไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อสั่งการ มีผลให้โจทก์สามารถค้าน้ำมันต่อไปได้ตามปกติ และได้สิทธิพิเศษสำรองน้ำมันน้อยกว่าผู้ค้าน้ำมันรายอื่น ๆ จนกว่านายกรัฐมนตรีจะสั่งการเรื่องร้องทุกข์ของโจทก์เสร็จสิ้น ดังนี้ความล่าช้าในการเสนอเรื่องร้องทุกข์ของโจทก์ไปให้นายกรัฐมนตรีสั่งการไม่ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ แต่โจทก์กลับได้ประโยชน์ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวมี เจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ย่อมไม่เป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 การที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้เสนอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ (คณะที่ 5) ไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อสั่งการตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 นั้น เป็นเรื่องการปฏิบัติราชการระหว่างจำเลยที่ 2 ผู้ใต้บังคับบัญชา กับนายกรัฐมนตรีผู้บังคับบัญชาตามที่กฎหมายกำหนดไว้ มิใช่กรณี ที่จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหรือละเว้นไม่ปฏิบัติต่อผู้ร้องทุกข์โดยมิชอบด้วยกฎหมายเพราะเหตุที่มีการร้องทุกข์นั้น การกระทำ ของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการ กฤษฎีกา พ.ศ. 2522 มาตรา 70 การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาทำบันทึกข้อสังเกตประกอบการเสนอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัย ร้องทุกข์ (คณะที่ 5) ต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาประกอบการ สั่งการนั้น เป็นการเสนอเรื่องและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุ แห่งการร้องทุกข์และหลักกฎหมายที่จะนำมาใช้กับการร้องทุกข์ต่อ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งเป็น ผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง มาตรา 63 และมาตรา 62(7) โดยเฉพาะ กรณีของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่มีความสำคัญในทางกฎหมายปกครองเพราะก่อนดำเนินการออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับการกำหนด เงื่อนไขในการออกและการสิ้นผลของใบอนุญาตเป็นผู้ค้าน้ำมันตาม มาตรา 6 ไว้ในประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวกรมทะเบียนการค้า เคยหารือโดยขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นในปัญหา ข้อกฎหมายว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะมีอำนาจตามมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521กำหนดเงื่อนไขให้ใบอนุญาตเป็นผู้ค้าน้ำมันสิ้นผลหรือไม่ ซึ่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยคณะกรรมการร่างกฎหมาย (คณะที่ 6) ได้ให้ความเห็นว่า มาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กำหนดเงื่อนไขได้ทุกชนิด รวมทั้งกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับ การสิ้นผลของใบอนุญาตเป็นผู้ค้าน้ำมันด้วยซึ่งกรมทะเบียนการค้า และกระทรวงพาณิชย์ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติราชการอยู่ แต่ คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ (คณะที่ 5) ได้วินิจฉัยในปัญหา เดียวกันนี้ว่า การใช้อำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตามมาตรา 6 วรรคสอง ที่กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการสิ้นผลของ ใบอนุญาตเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการเกินอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่กฎหมาย ให้ไว้ซึ่งขัดแย้งกับความเห็นของคณะกรรมการร่างกฎหมาย (คณะที่ 6) และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ (คณะที่ 5) มีผลกระทบกระเทือนต่อวิถีทางปฏิบัติราชการของกระทรวงพาณิชย์ อันอาจก่อให้เกิดผลเสียหายแก่ประโยชน์สาธารณะหรือแก่ระบบ บริหารราชการเป็นส่วนรวม จำเลยที่ 2 จึงจำเป็นต้องหาข้อยุติ และทำบันทึกข้อสังเกตในเรื่องนี้ และในบันทึกข้อสังเกตของจำเลยที่ 2 ก็ได้เสนอทางเลือกให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา 2 ประการ คือ ประการแรก นายกรัฐมนตรีอาจสั่งการให้ที่ประชุมใหญ่กรรมการ วินิจฉัยร้องทุกข์พิจารณาทบทวน ประการที่สองนายกรัฐมนตรีอาจ ขอความเห็นจากที่ประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมายในปัญหาข้อกฎหมาย ที่ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะมีอำนาจตามมาตรา 6 วรรคสอง กำหนดเงื่อนไขเรื่องการสิ้นผลของใบอนุญาตให้เป็นผู้ค้าน้ำมัน ตามมาตรา 6 ได้หรือไม่ ส่วนนายกรัฐมนตรีจะพิจารณาสั่งการให้ ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ (คณะที่ 5) ไปเลย หรือจะสั่งการให้นำปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการร้องทุกข์ดังกล่าวเข้าพิจารณาในที่ประชุมใหญ่กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์หรือเข้าพิจารณาในที่ประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมาย ก็เป็นดุลพินิจอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 ไม่อาจเข้าไป ก้าวก่ายชี้นำได้ และมติของที่ประชุมใหญ่กรรมการวินิจฉัย ร้องทุกข์หรือกรรมการร่างกฎหมายจะออกมาอย่างไร ก็ไม่อาจทราบ ล่วงหน้าได้ การที่ ส.ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อจากจำเลยที่ 2 ได้เสนอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ (คณะที่ 5) ไปยัง นายกรัฐมนตรีพร้อมแนบบันทึกข้อสังเกตของจำเลยที่ 2 ไปด้วยภายหลัง ที่จำเลยที่ 2 เกษียณอายุราชการแล้ว และนายกรัฐมนตรีได้สั่งการ ให้นำปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวเข้าพิจารณาในที่ประชุมใหญ่กรรมการ ร่างกฎหมาย ซึ่งต่อมาที่ประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมายมีมติ กลับคำวินิจฉัยเดิมของคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ (คณะที่ 5) นายกรัฐมนตรีจึงได้มีคำสั่งให้ยกคำร้องทุกข์ของโจทก์ในเวลา ต่อมานั้นการกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าเป็น การชี้นำกลั่นแกล้งโจทก์เพื่อให้มีการพลิกผลคำวินิจฉัยเดิมจำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ในส่วนนี้โดยชอบด้วยกฎหมายและเหตุผลแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 การที่เจ้าหน้าที่ของกองน้ำมันเชื้อเพลิงไปตรวจสอบการสำรอง น้ำมันของโจทก์ก็ดี การตีความการสำรองน้ำมันของโจทก์ว่าโจทก์ต้อง สำรองน้ำมันไว้ล่วงหน้าในอัตราร้อยละ 3 ของปริมาณที่ได้รับอนุญาต ให้ค้าทั้งปี ตามที่ยึดถือเป็นหลักใช้ปฏิบัติแก่ผู้ค้าน้ำมัน ทั่วไปทุกรายก็ดี เมื่อโจทก์สำรองน้ำมันไม่ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ ดังกล่าวจึงเป็นการผิดเงื่อนไขในใบอนุญาตเป็นผู้ค้าน้ำมันตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 มาตรา 6 จนเป็นเหตุ ให้รองอธิบดีกรมทะเบียนการค้าซึ่งปฏิบัติราชการแทนจำเลยที่ 4มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ทราบว่าใบอนุญาตเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ของโจทก์สิ้นผลก็ดี เมื่อล้วนเป็นการปฏิบัติไปตามอำนาจ หน้าที่ที่กฎหมายและประกาศกระทรวงพาณิชย์กำหนดไว้ และมิใช่ เป็นการปฏิบัติตามแผนการของบริษัทค้าน้ำมันต่างชาติหรือ เพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางที่ไม่ชอบของจำเลยที่ 3 และที่ 4 การกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เมื่อไม่เป็นการร่วมกันกระทำการดังกล่าวเพื่อกลั่นแกล้งโจทก์ให้หยุดประกอบการค้าน้ำมันจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,157 อำนาจหน้าที่ในการควบคุมดูแลการจำหน่ายน้ำมันเป็นของ จำเลยที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ และของ กรมทะเบียนการค้าซึ่งมีจำเลยที่ 4 ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมทะเบียนการค้า แต่ในการปฏิบัติราชการดังกล่าว จำเลยที่ 3 ได้มอบอำนาจหน้าที่ในการสั่งการอนุญาต การอนุมัติ หรือปฏิบัติ ราชการเกี่ยวกับราชการของกรมทะเบียนการค้าให้แก่ ฉ. รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปฏิบัติราชการแทนจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 3 มิได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการของ ฉ. การเสนอเรื่องของกรมทะเบียนการค้าเกี่ยวกับเรื่องน้ำมันจึงต้องเสนอ ต่อรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ผู้รับมอบอำนาจหน้าที่จาก ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ก็สามารถเสนอ เรื่องไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์โดยตรง ไม่ต้องเสนอผ่านปลัดกระทรวงพาณิชย์ก่อน กรณีของโจทก์จำเลยที่ 4 ได้เสนอเรื่อง พร้อมกับร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2531) ซึ่งได้ดำเนินการตามขั้นตอนถูกต้องตามกฎหมายไปยัง ฉ. รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ผู้มีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลกรมทะเบียนการค้า หลังจากนั้น ฉ.ก็ได้เสนอเรื่องไปยังจำเลยที่ 6 ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เพื่อพิจารณาลงนามใน ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2531) เพื่อใช้บังคับ ต่อไปโดยไม่ได้เสนอผ่านจำเลยที่ 3 ก่อน จำเลยที่ 3 จึงมิได้ เกี่ยวข้องกับการจัดทำและเสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2531) ต่อจำเลยที่ 6 ส่วนการที่จำเลยที่ 4 ดำเนินการยกร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2531) แล้วนำเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้นตอนของกฎหมายจนถึง จำเลยที่ 6 เพื่อลงนามใช้บังคับ ก็ดำเนินการตามนโยบายของ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและมติของคณะรัฐมนตรี โดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านการพลังงานของประเทศ และผ่านขั้นตอนในการดำเนินการออกประกาศดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายทั้งประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2531) ก็ออกมาเพื่อ ใช้บังคับแก่ผู้ค้าน้ำมันโดยทั่วไป มิได้เฉพาะเจาะจงบังคับ ใช้แก่โจทก์ และการที่จำเลยที่ 6 ลงนามในประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 2(พ.ศ. 2531) ก็กระทำโดยสุจริต เพราะเห็นได้ว่า ได้เสนอผ่านลำดับขั้นตอนถูกต้องตามกฎหมายและเป็นไปตามนโยบาย ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและมติของ คณะรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านการพลังงานของ ประเทศ ทั้งผู้ค้าน้ำมันโดยทั่วไปก็สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไข และสำรองน้ำมันได้ถูกต้องครบถ้วน ยกเว้นโจทก์และ บริษัทบอสตันออยล์ จำกัด เท่านั้นที่ไม่สำรองน้ำมันให้ถูกต้องครบถ้วน การกระทำของจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 6 จึงมิได้ร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบหรือ โดยทุจริต ออกกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวมาเพื่อกีดกันมิให้ โจทก์สามารถขอใบอนุญาตประกอบการค้าน้ำมันได้ ย่อมไม่เป็น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5459/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานตรวจสอบการบุกรุกที่ดิน ไม่เข้าข่ายข่มขืนใจหรือใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ แม้เสนอทางเลือกให้เช่า/บริจาค/มอบ
การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เป็นผู้ตรวจสอบกรณีโจทก์บุกรุกเข้าปลูกสร้างบ้านพักคนงานในที่ดินของทางราชการ ได้เรียกให้โจทก์เสียค่าเช่า มอบอาคารหรือบริจาคเงินเป็นค่าตกแต่งห้องทำงานสำนักงานก็ดี เป็นการบรรเทาความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของโจทก์เอง และที่จำเลยพูดว่าถ้าไม่ยอมก็ต้องรื้อถอนก็เป็นกรณีที่จำเลยแจ้งว่าจะใช้สิทธิตามกฎหมายมิใช่เป็นการข่มขืนใจ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจให้โจทก์มอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3431-3433/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนใจเอาทรัพย์, กรรมต่างกัน, เจ้าพนักงานใช้อำนาจโดยมิชอบ
จำเลยทั้งสองกับพวกพากันไปที่บ้านของ ว. โดยอ้างว่าเป็นตำรวจกองปราบปราม พกปืนบ้าง ถือกิ่งพืชกระท่อมบ้าง และกล่าวหา ว. ว่ามีพืชกระท่อมผิดกฎหมายจะจับกุมและทำบันทึกการจับกุม แล้วพูดว่า หากไม่ต้องการถูกจับกุมให้เสียเงิน ว.ไม่มีพืชกระท่อมแต่มีความกลัวต่อการข่มขู่ของจำเลยจึงยอมจ่ายเงินให้จำเลยไปแล้วจำเลยที่ 1 ก็พกปืนโดยมีจำเลยที่ 2 ถือพืชใบกระท่อมไปที่บ้านของ ท. และบ้านของ ส. ข่มขู่เรียกเอาเงินจาก ท. และ ส. โดยวิธีการทำนองเดียวกัน แล้วเรียกให้ ท. และ ส. ไปหาเงินมาส่งมอบให้จำเลยที่บ้านของ ว. เมื่อได้เงินแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกก็กลับไป การกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นการข่มขืนใจให้ผู้เสียหายทั้งสามยอมให้เงินที่จำเลยกระทำไป แม้จะใช้วิธีการอย่างเดียวกันแต่จำเลยได้กระทำต่อผู้เสียหายต่างรายกัน ต่างสถานที่ และต่างเวลากัน แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าจำเลยมีเจตนาแยกการกระทำของตนเป็นหลายกรรมต่างกัน ต้องถือว่าจำเลยกระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1539/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้อำนาจโดยมิชอบของนายทะเบียนและการเพิกถอนคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีละเมิด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารเพื่อใช้เป็นโรงแรมได้แล้วต่อมาเมื่อขออนุญาตเปิดกิจการต่อจำเลยในฐานะนายทะเบียน จำเลยกลับใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบไม่อนุญาตให้เปิดกิจการโรงแรม ทั้งคำสั่งของกรมตำรวจและคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ให้โจทก์จัดการแก้ไขเพิ่มเติมก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ ฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวหาจำเลยในมูลละเมิด สมควรที่จะต้องฟังพยานหลักฐานต่อไปเสียก่อนว่าข้อเท็จจริงเป็นประการใด ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงเป็นการมิชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1399/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานใช้อำนาจโดยมิชอบ ทำร้ายร่างกายผู้ต้องหา และการพิจารณาโทษรอการลงโทษ
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนคดีอาญาในระหว่างสอบสวนโจทก์ ได้ทำร้ายโจทก์ เพราะโจทก์ไม่ยอมรับสารภาพ ไม่ยอมลงชื่อตามที่จำเลยต้องการจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เป็นความผิดตามมาตรา 157,391
ถูกชกตีไม่ปรากฏบาดแผลเป็นอันตรายแก่กาย แล้วถูกพันธนาการพาตัวไปคุมขังไว้ใต้สถานีตำรวจแต่เดียวดาย ไกลหูไกลตาผู้ต้องหาด้วยกัน เช่นนี้ ไม่เป็นอันตรายแก่จิตใจตามมาตรา 295
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ต้องการเพียงว่าถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน ก็เพียงพอที่จะเป็นองค์ประกอบองค์หนึ่งของการที่จะพิพากษารอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษได้แล้ว หาต้องนำสืบไม่ แม้มิได้นำสืบศาลก็อาจคำนึงถึงอายุและอื่นๆ เท่าที่พึงมีปรากฏในสำนวนนั้นได้
ถูกชกตีไม่ปรากฏบาดแผลเป็นอันตรายแก่กาย แล้วถูกพันธนาการพาตัวไปคุมขังไว้ใต้สถานีตำรวจแต่เดียวดาย ไกลหูไกลตาผู้ต้องหาด้วยกัน เช่นนี้ ไม่เป็นอันตรายแก่จิตใจตามมาตรา 295
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ต้องการเพียงว่าถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน ก็เพียงพอที่จะเป็นองค์ประกอบองค์หนึ่งของการที่จะพิพากษารอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษได้แล้ว หาต้องนำสืบไม่ แม้มิได้นำสืบศาลก็อาจคำนึงถึงอายุและอื่นๆ เท่าที่พึงมีปรากฏในสำนวนนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานใช้อำนาจโดยมิชอบ ข่มขืนใจเอาทรัพย์ และความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิด
จำเลยที่ 1 เป็นพลตำรวจสมัครประจำกองตำรวจภูธร ลามากิจธุระ ไม่แต่งเครื่องแบบ แต่มีเข็มขัดตำรวจคาดอยู่ จำเลยที่ 1 บอกผู้เสียหายซึ่งจับปลาในลำน้ำชีอันเป็นที่สาธารณะในฤดูปลามีไข่ อันเป็นความผิดต่อกฎหมายว่า ถ้าไม่ให้จับก็ให้ให้ปลาแก่จำเลยที่ 1 เสีย ผู้เสียหายกลัว จึงยอมให้ปลาแก่จำเลยที่ 1 เช่นนี้ แม้ในทางปฏิบัติกรมตำรวจได้วางระเบียบไว้ว่า พลตำรวจภูธรประจำกองตำรวจภูธรจะสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดในเขตจังหวัดนั้น จะต้องมีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ชั้นผู้บังคับกองขึ้นไปก็ดี แต่เมื่อมีคำสั่งกระทรวงมหาดไทยไว้ว่า พลตำรวจภูธรไปปรากฏตัว ณ ที่ใดแม้จะเป็นนอกเขตอำนาจของพลตำรวจผู้นั้น ถ้าปรากฏว่ามีผู้กระทำผิดซึ่งหน้าพลตำรวจภูธรผู้นั้นก็มีอำนาจจับได้ ดังนี้ย่อมถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำของเจ้าพนักงานผู้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจให้ผู้เสียหายมอบปลาให้เป็นประโยชน์แก่ตน
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นครูประชาบาลมายังที่เกิดเหตุพร้อมกับจำเลยที่ 1 และในขณะที่จำเลยที่ 1 พูดกับผู้เสียหายว่า ถ้าจะไม่ให้จับ ก็ให้ให้ปลาเสียนั้น จำเลยที่ 2 ก็ได้พูดกับผู้เสียหายต่อเนื่องกันไปว่า ทำผิดกฎหมายแล้ว เอาปลาให้ตำรวจเสีย จะได้ไม่ถูกจับ และในที่สุดเมื่อผู้เสียหายยอมให้ปลาแล้ว จำเลยที่ 1 หิ้วถังปลาไปจำเลยที่ 2 ก็เดินตามไปพร้อม ๆ กันด้วย พฤติการณ์เช่นนี้ เข้าลักษณะที่ว่าเป็นการช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดในขณะกระทำความผิดอันเป็นลักษณะของผู้สนับสนุน ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าเป็นความผิดแล้ว
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นครูประชาบาลมายังที่เกิดเหตุพร้อมกับจำเลยที่ 1 และในขณะที่จำเลยที่ 1 พูดกับผู้เสียหายว่า ถ้าจะไม่ให้จับ ก็ให้ให้ปลาเสียนั้น จำเลยที่ 2 ก็ได้พูดกับผู้เสียหายต่อเนื่องกันไปว่า ทำผิดกฎหมายแล้ว เอาปลาให้ตำรวจเสีย จะได้ไม่ถูกจับ และในที่สุดเมื่อผู้เสียหายยอมให้ปลาแล้ว จำเลยที่ 1 หิ้วถังปลาไปจำเลยที่ 2 ก็เดินตามไปพร้อม ๆ กันด้วย พฤติการณ์เช่นนี้ เข้าลักษณะที่ว่าเป็นการช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดในขณะกระทำความผิดอันเป็นลักษณะของผู้สนับสนุน ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าเป็นความผิดแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานใช้อำนาจโดยมิชอบ ข่มขืนใจเอาทรัพย์สิน และความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิด
จำเลยที่ 1 เป็นพลตำรวจสมัครประจำกองตำรวจภูธร ลามากิจธุระ ไม่แต่งเครื่องแบบ แต่มีเข็มขัดตำรวจคาดอยู่ จำเลยที่ 1 บอกผู้เสียหายซึ่งจับปลาในลำน้ำชีอันเป็นที่สาธารณะในฤดูปลามีไข่ อันเป็นความผิดต่อกฎหมายว่าถ้าไม่ให้จับ ก็ให้ให้ปลาแก่จำเลยที่ 1 เสีย ผู้เสียหายกลัว จึงยอมให้ปลาแก่จำเลยที่ 1 เช่นนี้แม้ในทางปฏิบัติกรมตำรวจได้วางระเบียบไว้ว่า พลตำรวจภูธรประจำกองตำรวจภูธรจะสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดในเขตจังหวัดนั้น จะต้องมีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ชั้นผู้บังคับกองขึ้นไปก็ดี แต่เมื่อมีคำสั่งกระทรวงมหาดไทยไว้ว่า พลตำรวจภูธรไปปรากฏตัว ณ ที่ใดแม้จะเป็นที่นอกเขตอำนาจของพลตำรวจผู้นั้น ถ้าปรากฏว่ามีผู้กระทำผิดซึ่งหน้าพลตำรวจภูธรผู้นั้นก็มีอำนาจจับได้ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำของเจ้าพนักงานผู้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจให้ผู้เสียหายมอบปลาให้เป็นประโยชน์แก่ตน
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นครูประชาบาลมายังที่เกิดเหตุพร้อมกับจำเลยที่ 1และในขณะที่จำเลยที่ 1 พูดกับผู้เสียหายว่า ถ้าจะไม่ให้จับ ก็ให้ให้ปลาเสียนั้นจำเลยที่ 2 ก็ได้พูดกับผู้เสียหายต่อเนื่องกันไปว่าทำผิดกฎหมายแล้ว เอาปลาให้ตำรวจเสีย จะได้ไม่ถูกจับและในที่สุดเมื่อผู้เสียหายยอมให้ปลาแล้ว จำเลยที่ 1 หิ้วถังปลาไปจำเลยที่ 2 ก็เดินตามไปพร้อมๆ กันด้วยพฤติการณ์เช่นนี้เข้าลักษณะที่ว่าเป็นการช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดในขณะกระทำความผิดอันเป็นลักษณะของผู้สนับสนุนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าเป็นความผิดแล้ว
จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นครูประชาบาลมายังที่เกิดเหตุพร้อมกับจำเลยที่ 1และในขณะที่จำเลยที่ 1 พูดกับผู้เสียหายว่า ถ้าจะไม่ให้จับ ก็ให้ให้ปลาเสียนั้นจำเลยที่ 2 ก็ได้พูดกับผู้เสียหายต่อเนื่องกันไปว่าทำผิดกฎหมายแล้ว เอาปลาให้ตำรวจเสีย จะได้ไม่ถูกจับและในที่สุดเมื่อผู้เสียหายยอมให้ปลาแล้ว จำเลยที่ 1 หิ้วถังปลาไปจำเลยที่ 2 ก็เดินตามไปพร้อมๆ กันด้วยพฤติการณ์เช่นนี้เข้าลักษณะที่ว่าเป็นการช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดในขณะกระทำความผิดอันเป็นลักษณะของผู้สนับสนุนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าเป็นความผิดแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 747/2471
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้อำนาจโดยมิชอบของนายอำเภอและการกักขังโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย
นายอำเภอสั่งขังราษฎรเกินอำนาจโดยเจตนาร้ายทำตามคำสั่งผู้มีอำนาจเหนือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4436/2562
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้อำนาจโดยมิชอบของผู้อำนวยการโรงเรียนในการพิจารณาการลาและการลงโทษครู
จำเลยเป็นผู้บังคับบัญชามีอำนาจจะอนุญาตให้โจทก์ลาหรือไม่ก็ได้ แต่การใช้ดุลยพินิจต้องอยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผลที่วิญญูชนทั่วไปยอมรับได้ว่ามิใช่เป็นการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ เมื่อปรากฏว่าจำเลยเคยมีปัญหาไม่พอใจกับโจทก์มาก่อน และเมื่อโจทก์ยื่นใบลากิจล่วงหน้าตามระเบียบ และภายหลังโจทก์ก็ได้ยื่นใบลาป่วยแทนใบลากิจที่จำเลยมีคำสั่งไม่อนุญาตไปก่อนแล้ว จำเลยจึงเกษียณคำสั่งคาดโทษโจทก์ว่า เป็นการลาเท็จ เพื่อหาเหตุตั้งคณะกรรมการสอบสวนการลาของโจทก์อันเป็นการหาเหตุลงโทษทางวินัยโจทก์ แม้ภายหลัง อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา เขต 8 จะพิจารณายกเลิกคำสั่งดังกล่าว แต่โจทก์ก็ยังมิได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนปกติ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการก่อความเสียหายแก่โจทก์และเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ไม่อยู่บนรากฐานของความสมเหตุสมผล เป็นการใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ ถือได้ว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157