คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เกณฑ์กฎหมาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5667-5668/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับเนื่องจากราคาทรัพย์สินพิพาทต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และประเด็นโต้แย้งเป็นข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาทั้งสองสำนวนโดยสรุปว่า ศาลอุทธรณ์มิได้หักเงินค่าจ้างทนายความและค่าใช้จ่ายในการร้องขอจัดการมรดกของ ป. จำนวน 6,000 บาท และค่าใช้จ่ายและค่าจ้างทนายความในคดีทั้งสองสำนวนเป็นเงิน 250,000 บาท รวมเป็นเงิน 256,000 บาท ออกจากเงินที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยจะพึงได้รับ เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ว่ามีค่าใช้จ่ายและค่าจ้างทนายความที่จะต้องนำมาหักออกจากเงินที่จะนำมาแบ่งแก่โจทก์ทั้งสองและจำเลย เมื่อคดีทั้งสองสำนวนมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาแต่ละสำนวนไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6309/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แม้เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเป็นเงิน207,000บาทศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน57,000บาทแก่โจทก์จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกายกเหตุอ้างว่าไม่จงใจขาดนัดพิจารณาอันเป็นข้อเท็จจริงแม้ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาในชั้นดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นไม่ใช่ปัญหาในประเด็นที่พิพาทตามคำฟ้องและคำให้การก็ตามแต่เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดพิจารณาก็ต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน57,000บาทตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 477/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากราคาพิพาทต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แม้ข้อพิพาทเป็นการโต้เถียงดุลพินิจ
ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า พ. ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์ครอบครองทำประโยชน์มาตลอด โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง จำเลยฎีกาว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยการรับมรดกมาจากบิดาและในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของ พ. ฝ่ายโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอง เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานอันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 248 วรรคแรก ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีผลใช้บังคับก่อนจำเลยยื่นฎีกาคู่ความจะฎีกาได้หรือไม่เพียงไร ต้องพิเคราะห์ตามกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 459/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องสิทธิครอบครองมีทุนทรัพย์ไม่เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ดังนี้เป็นคดีมีข้อพิพาทด้วยเรื่องสิทธิครอบครองจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เมื่อที่พิพาทมีราคาเพียง8,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่พิพาท ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่ดินรกร้างว่างเปล่าโดยรับมอบการครอบครองจากเจ้าของเดิมและได้เข้าทำประโยชน์ต่อมา โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองที่พิพาทใช้ยันจำเลยได้และมีอำนาจฟ้องคดีนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3018/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำกัดสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อราคาทรัพย์สินต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยและครอบครัวเข้าอยู่ในบ้านพิพาทโดยอาศัยโจทก์ แม้จะอยู่มาเกิน 10 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในบ้าน-พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้อบ้านพิพาทจากโจทก์ในราคา 8,000 บาท เมื่อปี 2516 จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทแล้วจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีผลบังคับก่อนที่จำเลยยื่นฎีกา คู่ความจะฎีกาได้หรือไม่เพียงใด ต้องพิเคราะห์ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 631/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อันตรายสาหัสจากการสูญเสียอวัยวะ ฟันสูญเสีย 1 ซี่ ไม่ถึงเกณฑ์อันตรายสาหัสตามกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(3) เจตนารมณ์ของกฎหมายมุ่งหมายถึงการก่อให้เกิดอันตรายแก่กายที่สูญเสียอวัยวะสำคัญ ๆ ของร่างกาย เช่นที่ระบุไว้ในกฎหมายนั้น ดังนั้น การสูญเสียอวัยวะอื่นใดตามมาตรา 297(3) ก็ต้องเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกายหรือต้องสูญเสียไปถึงขนาดเทียบเท่าเสีย แขน ขา มือ เท้า นิ้ว ตามที่กฎหมายระบุไว้แล้ว มิใช่ว่าเสียอวัยวะส่วนใด ๆ ก็เป็นอันตรายสาหัสเช่นเดียวกันทั้งหมดไม่
โจทก์ต้องเสียฟันไปเพียงซี่เดียว แม้ฟันจะเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่เฉพาะเท่าที่เสียไป ยังไม่ถึงขนาดที่จะถือได้ว่ามีความสำคัญหรือการสูญเสียเทียบเท่ากับการเสีย แขน ขา มือ เท้า หรือนิ้ว อันเป็นอวัยวะที่กฎหมายระบุไว้ชัดแจ้งนั้น จะนับว่าโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสตามความในมาตรา 297(3) บัญญัติไว้ยังไม่ได้
ข้อที่ว่า ฟันที่ต้องเสียไป 1 ซี่นี้อยู่ด้านหน้าทำให้รูปหน้าเสียโฉมติดตัว เป็นอันตรายสาหัสตามมาตรา 297(4) นั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในข้อนี้ จึงมิใช่ข้อกฎหมายที่โจทก์จะยกขึ้นว่ากล่าวได้เลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 830/2473

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์และการถวายฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์น้อยกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
ศาลเดิมสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์อื่น ส่วนเรือนให้ยึดได้ ศาลอุทธรณ์สั่งให้ถอนการยึดทรัพย์ทั้งหมด โจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้แก้น้อย