พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 584/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพรากผู้เยาว์และการข่มขืนกระทำชำเรา: ผู้เสียหายแสดงเจตจำนงและไม่มีหลักฐานการกระทำผิด
ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 อายุ 13 ปีเศษ น่าเชื่อว่ามีความรู้สึกผิดชอบแล้ว ซึ่งก่อนเกิดเหตุเคยไปนอนค้างที่บ้านพี่สาวจำเลย เนื่องจากกลัวผู้เสียหายที่ 2 จึงไม่กล้ากลับบ้านหลังจากนั้น 3 ถึง 4 วัน ผู้เสียหายที่ 1 กลับไปบ้านแล้วกลับมาอยู่กับพี่สาวจำเลยและนอนค้างคืน ที่บ้านมารดาจำเลยอีกจนกระทั่งผู้เสียหายที่ 2 พาเจ้าพนักงาน ตำรวจไปจับจำเลยขณะผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยอยู่ภายในบ้าน น่าเชื่อว่าผู้เสียหายที่ 1 ไปพักอาศัยอยู่ที่บ้าน พี่สาวจำเลยและบ้านมารดาจำเลยเอง หาใช่ถูกจำเลยหลอกลวง พาไปอยู่ด้วยกันไม่ แม้จะปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 2 เคยไปตาม ผู้เสียหายที่ 1 กลับมาอยู่ที่บ้านและอยู่ในอำนาจปกครอง ของผู้เสียหายที่ 2 แล้ว แต่ต่อมาผู้เสียหายที่ 1 ก็กลับไปอยู่กับจำเลยอีก ฟังไม่ได้ว่าจำเลยโดยปราศจากเหตุ อันสมควรพรากผู้เสียหายที่ 1 อายุยังไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดาผู้ดูแล จำเลยไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำเอกสารแสดงเจตจำนงไม่ใช่พินัยกรรม หากมีเจตนาหลอกลวงเพื่อให้เชื่อใจและอยู่กินฉันสามีภริยา
ผู้ตายทำเอกสารมีข้อความในตอนต้นว่า"นายก.(หมายถึงผู้ตาย)สัญญากับนางด. (หมายถึงโจทก์)ว่าไม่มีลูกเมียนางด. จึงอยู่กินฉันสามีภริยาฯลฯถ้ามีลูกเมียเมื่อไหร่ยอมให้ยึดทรัพย์สินของข้าพเจ้าและของแม่ทั้งหมดฯลฯ"อันมีลักษณะเป็นการให้คำมั่นสัญญาแก่โจทก์ว่าผู้ตายไม่มีภริยาและบุตรซึ่งความจริงปรากฏว่าผู้ตายมีบุตรกับจำเลยอยู่ก่อนแล้วการที่ผู้ตายปิดบังความจริงและให้คำมั่นสัญญาแก่โจทก์พฤติการณ์เชื่อได้ว่าผู้ตายมีเจตนาเพียงเพื่อให้โจทก์หลงเชื่อและอยู่กินเป็นภริยาผู้ตายเท่านั้นหามีเจตนาให้ผูกพันในเรื่องทรัพย์สินไม่แม้เอกสารดังกล่าวจะมีข้อความในตอนท้ายว่า"ฯลฯถ้าข้าพเจ้าตายทรัพย์สินทั้งหมดของข้าพเจ้าและของแม่ให้นางด. เป็นทายาทรับมรดกแต่ผู้เดียวฯลฯ"ก็มีเจตนาสืบเนื่องมาจากเหตุที่จะให้โจทก์หลงเชื่อจึงหามีผลสมบูรณ์เป็นพินัยกรรมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6619/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิในที่ดินโดยหนังสือแสดงเจตจำนงก่อนเสียชีวิต ไม่ถือเป็นมรดก
แม้ ร. ชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ดินพิพาทครบถ้วนแล้วตั้งแต่ปี2510และ ร.มีสิทธิเรียกร้องในที่ดินพิพาทตามสัญญาเช่าซื้ออันถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของ ร.ก็ตามแต่ในระหว่างที่ ร.ยังมีชีวิตอยู่ในปี2513 ร.ได้ทำหนังสือแสดงความจำนงตามข้อบังคับของสหกรณ์ ธ.ว่าหาก ร.ต้องพ้นจากสมาชิกภาพของสหกรณ์ ธ.ขอให้สหกรณ์ ธ.โอนบรรดาสิทธิผลประโยชน์และหนี้สินที่ ร.มีอยู่ในสหกรณ์ ธ.ให้แก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทต่อมา ร. ทำกินในที่ดินพิพาทไม่ไหวในปี2518สหกรณ์ ธ.ได้รับจำนองเข้าเป็นสมาชิกแทน ร.สิทธิในที่ดินพิพาทจึงโอนมาเป็นของจำเลยตามข้อบังคับของสหกรณ์ดังกล่าวต่อมาปี2522 ร.ถึงแก่ความตายสิทธิในที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินที่ ร.มีอยู่ขณะถึงแก่ความตายจึงไม่เป็นมรดกของ ร.ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1599วรรคหนึ่งการที่จำเลยรับโอนที่ดินพิพาทโดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในปี2531จึงไม่ใช่การรับโอนมรดกของ ร.ในฐานะเจ้าของรวมผู้มีสิทธิรับมรดกร่วมกับโจทก์แต่เป็นเพียงทำให้การได้มาบริบูรณ์ตามกฎหมายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 542/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เงิน: การอ้างจำนวนเงินกู้ที่ต่างจากเอกสารไม่มีผลลบล้างสัญญา
การที่จำเลยอ้างว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ 1,000 บาท แต่ทำสัญญากู้ให้ไว้ 7,000 บาท เพื่อป้องกันมิให้ขาดส่งดอกเบี้ยนั้น เป็นเรื่องเต็มใจทำสัญญากู้ให้ไว้เช่นนั้น ไม่มีการใช้อุบายหลอกลวงแต่อย่างใด มาภายหลังจึงกล่าวอ้างขึ้นว่าความจริงกู้เงินกันเพียง 1,000 บาท คำกล่าวอ้างเช่นนี้หาอาจลบล้างหลักฐานเอกสารสัญญากู้ได้ไม่ ไม่ปรากฏชัดว่าเจ้าหนี้ลงจำนวนเงินสูงกว่าความจริง ฟังไม่ได้