พบผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3766/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร แม้มีการอ้างเจตนาสมรส ศาลพิจารณาพฤติการณ์และอายุผู้เสียหาย
การที่จำเลยพรากผู้เยาว์ไปครั้งแรกแล้ววันรุ่งขึ้นมารดาผู้เยาว์พาผู้เยาว์กลับมา จำเลยหาได้ดำเนินการขอขมาหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามประเพณีเพื่อจะอยู่กินฉันสามีภริยากับผู้เยาว์ หลังจากนั้นอีกประมาณ 5 วันจำเลยยังขืนพรากผู้เยาว์เร่ร่อนไปพักอาศัยบ้านผู้อื่นหลายแห่งหลายจังหวัดเป็นเวลานานประมาณ 1 เดือน โดยไม่ส่งข่าวให้บิดามารดาผู้เยาว์ทราบเลย ทั้ง ๆ ที่บิดามารดาผู้เยาว์ได้กำชับมิให้จำเลยยุ่งเกี่ยวกับผู้เยาว์อีก หลังจากนั้นจำเลยจึงพาผู้เยาว์กลับมาที่บ้านจำเลย แต่จำเลยก็หาได้แจ้งบิดามารดาผู้เยาว์ทราบว่าจำเลยกับผู้เยาว์กลับมาอยู่ที่บ้านจำเลย และมีความประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยา อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พาผู้เยาว์ไปพบหรือแจ้งให้บิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ของจำเลยทราบเลยว่าผู้เยาว์เป็นภริยาของตน ตามพฤติการณ์ดังกล่าวประกอบกับผู้เยาว์มีอายุเพียง 16 ปีเศษ กำลังศึกษาเล่าเรียน จำเลยยังขืนพรากผู้เยาว์ไปในที่ต่าง ๆ เพื่อมิให้บิดามารดาผู้เยาว์ขัดขวางการกระทำของจำเลย ย่อมเห็นได้ชัดว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะพาผู้เยาว์ไปอยู่กินฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุข แต่เป็นเรื่องที่จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1127/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสโมฆะจากเจตนาไม่ตรงกันและมีคู่สมรสแล้ว แม้ไม่มีคดีอาญาเกี่ยวเนื่อง
เมื่อคดีอาญาที่จำเลยทั้งสองถูกฟ้องเป็นเรื่องแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ส่วนคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่าการสมรสของจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาฐานแจ้งความเท็จแต่อย่างใด กรณีจึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาและมีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ตามที่ปรากฏในสำนวนคดีแพ่งได้ เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าช่วงเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ยังอยู่กินฉันสามีภรรยากับนายบ.ส่วนจำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของบุคคลทั้งสอง การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันไปขอจดทะเบียนสมรสโดยแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่ามีเจตนาจะสมรสกันและต่างไม่เคยมีคู่สมรสมาก่อนจึงผิดไปจากเจตนาที่แท้จริง และไม่น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองยินยอมเป็นสามีภริยากันอันเป็นเงื่อนไขแห่งการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 โจทก์จึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3814/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาท: การออกเช็คเพื่อยืนยันความรักและเจตนาสมรส ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม ผู้รับมีอำนาจฟ้อง
จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้แก่โจทก์เพื่อยืนยันว่า จำเลยรักใคร่โจทก์ จำเลยจะสมรสกับโจทก์เป็นการให้เงินตามเช็คแก่โจทก์โดยมีมูลหนี้บังคับกันได้ การออกเช็คพิพาทของจำเลยในลักษณะเช่นนี้ไม่เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1507/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาสมรสตามกฎหมายสำคัญกว่าพิธี หากไม่มีเจตนา เงินที่ให้ถือเป็นของขวัญ ไม่ใช่หมั้นสินสอด
เมื่อโจทก์กับจำเลยที่ 1 เพียงแต่ประกอบพิธีสมรสโดยมิได้มีเจตนาจะสมรสกันตามกฎหมาย เงินที่โจทก์อ้างว่าได้มอบให้แก่ฝ่ายหญิงจึงหาได้ให้ในฐานะเป็นของหมั้นและสินสอดตามกฎหมายไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1507/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาสมรสไม่ปรากฏ เงินที่ให้ถือเป็นของขวัญ ไม่ใช่ของหมั้นสินสอด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืน
เมื่อโจทก์กับจำเลยที่ 1 เพียงแต่ประกอบพิธีสมรสโดยมิได้ มีเจตนาจะสมรสกันตามกฎหมาย เงินที่โจทก์อ้างว่าได้มอบให้แก่ฝ่ายหญิงจึงหาได้ให้ฐานะเป็นของหมั้นและสินสอดตามกฎหมายไม่โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 125/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าสินสอดคืนได้หรือไม่เมื่อไม่มีเจตนาสมรส: เงินที่ให้เพื่อขอขมามารดา ไม่ใช่สินสอด
ขายได้เสียเงินให้แก่มารดาของหญิงเพื่อขอขมามารดาของหญิง เนื่องจากชายได้พาหญิงหนีไปอยู่กันฉันสามีภริยา โดยไม่ได้สู่ขอตามประเพณี และชายกับหญิงนั้นก็อยู่กินกันต่อมาโดยมิได้มีเจตนาจะสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ดังนี้ถือไม่ได้ว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินสินสอดหรือของหมั้นและมิใช่เป็นการให้เพราะมารดาหญิงหลอกลวงดังฟ้อง โจทก์ด้วย โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกคืนเงินดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1100/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาการสมรส & สินสอด: แม้ไม่จดทะเบียนสมรส หากเจตนาเพียงทำพิธีตามประเพณี โจทก์เรียกคืนสินสอดไม่ได้
ชายหญิงได้แต่งงานอยู่กินด้วยกันฉันท์สามีภริยา มาช้านาจนกระทั่งมีบุตรโดยต่างฝ่ายต่างสมัครใจที่จะไม่ไปจดทะเบียนสมรสนั้น ถือได้ว่าชายหญิงมีเจตนาเพียงแต่ทำพิธีแต่งงานตามประเพณีและอยู่กินฉันท์สามีภริยาเท่านั้น มิได้ถือเอาการจดทะเบียนสมรสเป็นสำคัญมาแต่แรกเมื่อกรณีเป็นดั่งนี้ ทรัพย์ที่ที่ได้ให้กันโดยเรียกว่า เป็นของหมั้นก็ดีการให้เงินอันเรียกว่าสินสอดก็ดีหาได้ให้ในฐานะเป็นของหมั้นและสินสอดไม่ฉะนั้นแม้จะถือว่ามิได้มีการสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ฝ่ายชายก็เรียกเงินและทรัพย์ที่ให้ไว้ดังกล่าวคืนไม่ได้