คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เช็คสั่งจ่าย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 13 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4383/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือและผู้สลักหลัง: อำนาจฟ้องของผู้ทรงเช็คและอายุความ
เช็คพิพาทระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงิน แต่ไม่ได้ขีดฆ่าคำว่าผู้ถือจึงเป็นเช็คที่สั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือด้วย หากมีการสลักหลังเช็คที่สั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 921 ประกอบด้วยมาตรา 989 จึงบัญญัติว่าเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย หาได้ถือว่าเป็นผู้สลักหลังไม่ ดังนั้น การที่โจทก์สลักหลังเช็คพิพาท ไม่ว่าจะเป็นการกระทำเพื่อเรียกเก็บเงินผ่านบัญชีของผู้อื่นซึ่งเป็นตัวแทนของโจทก์ หรือโอนเช็คพิพาทไป เมื่อเช็คพิพาทถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้เช็คพิพาทกลับมาครอบครอง โจทก์ย่อมมีฐานะเป็นผู้ทรงเช็คพิพาท ตามมาตรา 904ไม่อยู่ในฐานะผู้สลักหลัง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายภายในอายุความ 1 ปีนับแต่วันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดตามมาตรา 1002 ไม่ใช่กรณีที่จะบังคับตามมาตรา 1003ซึ่งมีอายุความ 6 เดือน นับแต่วันที่ผู้สลักหลังถือเอาตั๋วเงินและใช้เงิน
ผู้ทรงเช็คที่จะมีอำนาจฟ้องผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็ค มิได้จำกัดเฉพาะผู้ทรงเช็คขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเท่านั้น ผู้ที่รับโอนเช็คมาโดยสุจริตหลังจากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินก็เป็นผู้ทรงเช็คที่มีอำนาจฟ้องผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คได้ ดังนั้น โจทก์จะเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินหรือไม่ แต่เมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทขณะยื่นฟ้อง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2799/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ โอนโดยส่งมอบ สิทธิของผู้ทรงเช็ค การพิสูจน์ความสุจริต
เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือโจทก์เป็นผู้ถือเช็คพิพาทไว้ในครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็ค ตาม ป.พ.พ.มาตรา 904 เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จำเลยผู้ลงลายมือชื่อในเช็คจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค ตาม มาตรา 900 เช็คพิพาทสูญหายไปขณะเก็บไว้ในลิ้นชักหน้ารถยนต์ขณะนำรถยนต์ไปจอดที่บริเวณตลาดอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 25 มกราคม2539 นั้น จำเลยก็มิได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและขออายัดเช็คพิพาทไว้โดยทันทีในวันนั้น กลับได้ความว่าจำเลยเพิ่งจะไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและขออายัดเช็คพิพาทที่ธนาคารในวันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดการใช้เงินวันที่ 29 มกราคม2539 ทั้ง ๆ ที่วันเกิดเหตุที่จำเลยอ้างว่าเช็คพิพาทสูญหายไปนั้นจำเลยอยู่ที่อำเภออู่ทองจังหวัดสุพรรณบุรี อันเป็นที่ตั้งของธนาคารตามเช็คพิพาทอยู่แล้ว จำเลยน่าจะแจ้งความและขออายัดเช็คเสียเลยในวันเกิดเหตุเพราะนอกจากเช็คพิพาทจะสูญหายไปแล้วยังมีเช็คอีกฉบับหนึ่งตามที่จำเลยอ้างซึ่งถึงกำหนดการใช้เงินแล้วสูญหายไปในคราวเดียวกันนั้นด้วย เพื่อธนาคารจะได้ระงับการจ่ายเงินตามเช็คที่ถึงกำหนดดังกล่าวได้ทันทีจำเลยจะได้ไม่เสียหาย แต่จำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่หมู่ที่ 3 ตำบลหนองโสน อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี ตำบลเดียวกันกับภูมิลำเนาของโจทก์และคนละจังหวัดกับที่เกิดเหตุที่อ้างว่าเช็คหาย กลับเพิ่งแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและขออายัดเช็คที่หายเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2539 ตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 อันเป็นพิรุธและเมื่อพิจารณาคำเบิกความของนายวิชัย การสุจริตสมุห์บัญชีธนาคารตามเช็คพิพาทพยานโจทก์ประกอบรายการบัญชีกระแสรายวันของจำเลยตามเอกสารหมาย ป.จ.3(ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี) ปรากฏว่าก่อนวันที่ 29 มกราคม 2539 ซึ่งเป็นวันที่เช็คพิพาทถึงกำหนดการใช้เงินจำเลยไม่มีเงินอยู่ในบัญชี โดยในวันที่ 29 มกราคม 2539นั้นเองจำเลยนำเงินเข้าบัญชีเท่ากับจำนวนเงินตามเช็คพิพาทคือ 65,000 บาทแล้วจำเลยก็สั่งอายัดเช็คพิพาทต่อธนาคาร ครั้นวันรุ่งขึ้นจำเลยก็ถอนเงินออกจากบัญชีจำนวน 50,000 บาท วันถัดไปจำเลยก็ถอนเงินออกจากบัญชีอีก 15,000 บาทจนไม่มีเงินอยู่ในบัญชีของจำเลยเลย เสมือนเป็นการเตรียมการล่วงหน้าโดยการนำเงินเข้าบัญชีในวันเช็คพิพาทถึงกำหนดใช้เงินเพื่อเป็นหลักฐานในการต่อสู้ว่ามีเงินในบัญชีพอจะจ่ายตามเช็คพิพาทได้และขออายัดเช็คพิพาทในวันนั้นแล้วก็ถอนเงินออกจากบัญชีหมดในสองวันต่อมา เจือสมกับทางนำสืบของโจทก์ที่ว่านางอนงค์นำเช็คพิพาทมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ซึ่งจำเลยก็ทราบว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คก่อนเช็คถึงกำหนดใช้เงินนางอนงค์แจ้งให้โจทก์นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีวันที่ 1กุมภาพันธ์ 2539 เพราะจำเลยนำเงินเข้าบัญชีไม่ทันครั้นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2539โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่า มีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่าเช็คหาย ตามเอกสารหมาย ป.จ.1 และป.จ.2 (ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี) ข้อนำสืบต่อสู้คดีของจำเลยเป็นพิรุธย่อมไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ซึ่งได้รับประโยชน์จาก ป.พ.พ. มาตรา900 และมาตรา 904 ที่บัญญัติรับรองได้
เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือย่อมโอนกันได้เพียงส่งมอบเช็คให้แก่กันผู้ถือเช็คไว้ในครอบครองก็เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ.มาตรา 904 แล้ว และแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่ารับเช็คพิพาทมาจากจำเลย แต่โจทก์นำสืบว่ารับเช็คพิพาทมาจาก อ.ก็ไม่ทำให้คดีของโจทก์รับฟังไม่ได้ เพราะแม้โจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่าโจทก์รับเช็คพิพาทมาอย่างไร ก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ทรงเช็คโดยชอบเสียไป
โจทก์รับเช็คพิพาทมาโดยมิได้ให้ อ.ผู้โอนสลักหลังก็เนื่องจากเช็คพิพาทเป็นเช็คอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ซึ่งย่อมโอนไปเพียงส่งมอบให้แก่กัน การที่อ.จะไม่ได้ลงชื่อสลักหลังเช็คพิพาทหรือไม่ได้เข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ โดยจำเลยไม่ได้นำสืบถึงเหตุแห่งความไม่สุจริตของโจทก์ดังกล่าวนั้น ยังไม่พอฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยไม่สุจริต
โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือซึ่งสามารถโอนกันได้เพียงส่งมอบเช็คพิพาทเท่านั้นเมื่อไม่ปรากฏว่ามีประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยว่าการโอนเช็คพิพาทดังกล่าวมีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล ดังนั้นหนี้ระหว่างจำเลยกับ อ.จะเป็นหนี้อะไรย่อมไม่เป็นสาระในการวินิจฉัยคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6468/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของคำฟ้องเช็ค: การแสดงสภาพแห่งข้อหาและผู้ทรงเช็คโดยชอบ
คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงข้ออ้างแห่งข้อหาไว้ว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คตามภาพถ่ายท้ายฟ้อง สั่งธนาคารจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือในการชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์นำไปชำระหนี้แก่ผู้มีชื่อ เมื่อเช็คถึงกำหนดผู้มีชื่อนำเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจากธนาคาร แต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์จึงชำระเงินตามเช็คแก่ผู้มีชื่อแล้วเข้าถือเอาเช็คไว้ในครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามเช็ค พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ กับมีคำขอบังคับให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องก็คือจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตรา 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงโดยฐานมีเช็คสั่งจ่ายเงินให้ผู้ถืออยู่ในครอบครอง ทั้งคำฟ้องมีคำขอบังคับไว้แล้ว นับว่าโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยจะเข้าใจคำฟ้องได้แล้วว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.มาตรา 904ฟ้องจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คให้รับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 914ประกอบมาตรา 989 และรับผิดค่าดอกเบี้ยตามมาตรา 224 คำฟ้องของโจทก์จึงครบถ้วนสมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว แม้โจทก์จะมิได้บรรยายในคำฟ้องว่า โจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาด้วยมูลหนี้ใดและเหตุใดโจทก์จึงเข้าชำระหนี้และรับเอาเช็คนั้นมาทั้งคำฟ้องระบุแต่เพียงว่า รับเช็คมาจากผู้มีชื่อซึ่งจำเลยไม่อาจทราบได้ว่าผู้มีชื่อนั้นคือใคร ก็ไม่เป็นเหตุให้คำฟ้องของโจทก์ที่ชอบด้วยกฎหมายกลับกลายเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไปได้ เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่สภาพแห่งข้อหาหรือข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่โจทก์จำเป็นจะต้องแสดงไว้ในคำฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ สลักหลังไม่ขาดสาย โจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้มีข้ออ้างเรื่องหุ้นส่วน
เมื่อเช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ และไม่เข้าข่ายที่จะเป็นตั๋วเงินเสียตามมาตรา 1008 ทั้งมีการสลักหลังไม่ขาดสายโจทก์เป็นผู้ครอบครองเช็ค จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 500/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาท: ผู้ครอบครองเช็คโดยชอบ คือผู้ทรงเช็คโดยชอบ จำเลยที่ 1 มีความรับผิดตามเช็ค
เช็คพิพาทออกให้แก่ผู้ถือ ผู้ใดครอบครองเช็คนั้น ในเบื้องต้นต้องถือว่า เป็นผู้ทรงเช็คนั้นโดยชอบ โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้เช็คมาจากผู้ใดและในฐานะอย่างไร ทั้งฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้แล้วว่าโจทก์ได้รับเช็คมาจากผู้มีชื่อเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คดังกล่าวโดยชอบ ฟ้องโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่ โจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้รับเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือจาก ต. โดยการแลกเงินสดไปจากโจทก์ การที่จำเลยที่ 1นำสืบแต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 1 เล่นแชร์ เป็นการส่วนตัว ไม่ทราบว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาอย่างไรนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 มีอำนาจสั่งจ่ายเช็คแทนจำเลยที่ 1 ข้อนำสืบดังกล่าวหาทำให้จำเลยที่ 1 พ้นจากความรับผิดตามเช็คไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 500/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ทรงเช็คโดยชอบ: การครอบครองเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ถือเป็นผู้ทรงโดยชอบ แม้ไม่ระบุแหล่งที่มา
เช็คพิพาทออกให้แก่ผู้ถือ ผู้ใดครอบครองเช็คนั้น ในเบื้องต้นต้องถือว่า เป็นผู้ทรงเช็คนั้นโดยชอบ โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้เช็คมาจากผู้ใดและในฐานะอย่างไรทั้งฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้แล้วว่าโจทก์ได้รับเช็คมาจากผู้มีชื่อเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คดังกล่าวโดยชอบ ฟ้องโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
โจทก์นำสืบว่า โจทก์ได้รับเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือจาก ต. โดยการแลกเงินสดไปจากโจทก์ การที่จำเลยที่ 1 นำสืบแต่เพียงว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยที่ 1 เล่นแชร์เป็นการส่วนตัว ไม่ทราบว่าโจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาอย่างไรนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 มีอำนาจสั่งจ่ายเช็คแทนจำเลยที่ 1 ข้อนำสืบดังกล่าวหาทำให้จำเลยที่ 1 พ้นจากความรับผิดตามเช็คไม่.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3376/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจร้องทุกข์ในคดีเช็ค: เช็คที่สั่งจ่ายแก่ผู้ถือและไม่ปรากฏการโอนสิทธิ โจทก์ร่วมไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยติตด่อขอซื้อเพชรร่วงจากโจทก์ร่วมและจากบริษัทซึ่งโจทก์ร่วมเป็นกรรมการผู้จัดการอยู่ โดยได้ออกเช็คมอบให้ไว้แก่โจทก์ร่วม 22 ฉบับ เช็คที่โจทก์ร่วมนำมาดำเนินคดีมี 13 ฉบับ เช็คดังกล่าวเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผูถือและไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมได้รับโอนมาในฐานผู้ทรงตามกฎหมาย เมื่อโจทก์ร่วมไม่สามารถแยกแยะหรือจำได้ว่าฉบับใดเป็นเช็คส่วนตัว ฉบับใดเป็นเช็คของบริษัท เช็คที่โจทก์ร่วมนำมาดำเนินคดีจึงฟังไม่ได้ว่าเป็นเช็คส่วตัวหรือเช็คของบริษัท โจทก์ร่วมจึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ การโอนเช็คและการต่อสู้สิทธิของผู้ทรง
เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ โจทก์ซึ่งได้รับโอนเช็คพิพาทมาจากผู้ทรงคนก่อนจึงมีฐานะเป็นผู้ทรงตามกฎหมาย ในกรณีเช่นนี้จำเลยผู้ถูกฟ้องในมูลเช็คพิพาทหาอาจจะต่อสู้ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อนนั้นได้ไม่เว้นแต่การโอนจะมีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 ประกอบด้วยมาตรา 989
โจทก์ฟ้องให้จำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทรับผิดชำระเงินตามเช็คซึ่งโจทก์ในฐานะเป็นผู้ทรงนำไปขึ้นเงินไม่ได้จำเลยให้การว่า จำเลยนำเช็คพิพาทไปเล่นการพนันไฮโลว์อันเป็นการพนันที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และได้เสียเช็คพิพาทให้แก่ ต. ซึ่งเป็นเจ้ามือโดยมีข้อตกลงว่าจะไม่นำเช็คไปเรียกเก็บเงินแต่จะรอให้ผู้สั่งจ่ายนำเงินสดมาแลกเช็คคืนไป โจทก์จึงมิได้เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายดังนี้คำให้การของจำเลยเพียงแต่กล่าวถึงความเกี่ยวพันระหว่างจำเลยกับ ต.ผู้ทรงคนก่อนเท่านั้นหาได้กล่าวถึงว่าโจทก์กับต.ได้คบคิดกันฉ้อฉลจำเลยไม่จำเลยย่อมไม่มีประเด็นสืบจำเลยซึ่งลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 ศาลล่างทั้งสองให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1521/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คสั่งจ่าย: ผู้ทรงคนหลังมีสิทธิเรียกร้อง แม้ผู้สั่งจ่ายจะโต้แย้งการโอนเช็ค และการลงวันออกเช็คไม่สมบูรณ์ไม่ทำให้ฟ้องขาดอายุความ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา910 วรรคสุดท้าย บัญญัติไว้ความว่า ถ้าตั๋วเงินมิได้ลงวันออกตั๋วผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งคนใดทำการโดยสุจริตจะจดวันตามที่ถูกต้องแท้จริงลงก็ได้ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นจำเลยผู้สั่งจ่าย หรือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งคนใดเป็นผู้ลงวันออกเช็คพิพาทก็ไม่ทำให้ความสมบูรณ์ของเช็คเสียไปคดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้ลงวันออกเช็คด้วยตนเองหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 369/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบหลักฐานนอกประเด็น และการเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายในคดีเช็ค
ตามคำให้การของจำเลยว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์โดยมีเงื่อนไขว่า โจทก์จะไปขึ้นเงินตามเช็คได้ต่อเมื่อ ว. โอนกิจการอู่ซ่อมรถยนต์ให้แก่จำเลย เพราะจำเลยออกเช็คเพื่อใช้หนี้แทน ป. น้องชายของจำเลย แต่จำเลยกลับนำสืบว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่ พ. เจ้าหนี้คนหนึ่งของ ป. โดย พ. ได้ทราบข้อตกลงและเงื่อนไขดังกล่าว ต่อมา ว. ไม่ยอมโอนอู่ซ่อมรถยนต์ให้จำเลย จำเลยจึงแจ้งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินแล้ว พ. กลับโอนเช็คพิพาทให้แก่โจทก์โดยคบคิดกันฉ้อฉลเพื่อให้โจทก์นำเช็คมาฟ้องจำเลย ซึ่งเป็นเรื่องจำเลยต่อสู้ว่า พ. ผู้ทรงคนก่อนโอนเช็คพิพาทให้โจทก์ผู้ทรงคนปัจจุบันด้วยคบคิดกันฉ้อฉล ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงนอกประเด็นพิพาท รับฟังไม่ได้
of 2