พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 803/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีซื้อขายที่ดินเช่าเกษตรกรรม ต้องรอคำวินิจฉัย คจก.ถึงที่สุดก่อน
กรณีพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการพิพาทกันในข้อที่ว่าโจทก์ในฐานะผู้เช่านามีสิทธิให้จำเลยผู้รับโอนขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่นาที่โจทก์ได้เช่าทำนาขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตาม พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง หรือไม่ พ.ร.บ. ดังกล่าวได้บัญญัติขั้นตอนและวิธีปฏิบัติไว้ในมาตรา 54 วรรคสอง ว่าถ้าผู้รับโอนตามวรรคหนึ่งไม่ยอมขายนาให้แก่ผู้เช่านา ผู้เช่านาจะร้องขอต่อ คจก. ตำบลเพื่อให้ผู้นั้นขายนาได้ เมื่อคจก. ตำบลวินิจฉัยอย่างไรแล้วคู่กรณีมีสิทธิตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง คืออาจอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คจก. ตำบลต่อ คจก. จังหวัดได้ โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อประธาน คจก. ตำบลภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยดังกล่าวแต่ต้องไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่ คจก. ตำบลมีคำวินิจฉัยดังกล่าว และวรรคสองบัญญัติว่า คำวินิจฉัยของ คจก. ตำบลที่มิได้อุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม ผู้มีส่วนได้เสียชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้บังคับการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยดังกล่าวดุจเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการตามมาตรา 58 วรรคหนึ่ง ตามฟ้องของโจทก์ปรากฏว่า คจก. ตำบลข้าวงามได้วินิจฉัยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2531 ให้จำเลยโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามคำร้องของโจทก์ ต่อมาวันที่ 15 เมษายน 2531 โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลในขณะที่ยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จำเลยซึ่งเป็นผู้มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของ คจก. ตำบลข้าวงามซึ่งยังไม่ถึงที่สุด โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 กำหนดไว้ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2993/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองสัญญาเช่าเกษตรกรรมเลี้ยงสัตว์น้ำภายใต้ พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ การสิ้นสุดภาระหนี้เมื่อมีการโอนที่ดิน
คู่ความท้ากันว่า ถ้าจำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 จำเลยยอมแพ้ข้อต่อสู้อื่น ๆ จำเลยสละทั้งหมดถ้าจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว โจทก์ยอมแพ้ สำหรับค่าเสียหายหากโจทก์ชนะคดี จำเลยยอมให้เป็นไปตามฟ้อง ปรากฏว่ามาตรา 63วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้บัญญัติว่า ในกรณีที่มีการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทใดนอกจากการเช่านาเป็นช่องทางให้เกิดการเอาเปรียบเกษตรกรผู้เช่าโดยไม่เป็นธรรมจนเกิดความเดือดร้อนและเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อรัฐบาลเห็นสมควรกำหนดให้การเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทนั้นมีการควบคุมตามพระราชบัญญัตินี้เพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว ก็ให้มีอำนาจกระทำโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาแต่ไม่ปรากฏว่าตั้งแต่ได้ตราพระราชบัญญัติดังกล่าวไว้จนบัดนี้ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาออกมาใช้บังคับให้มีการควบคุมการประกอบเกษตรกรรมประเภทใดแสดงว่ากฎหมายดังกล่าวยังไม่ประสงค์ให้มีการควบคุมคุ้มครองการเช่าที่ดินเพื่อเลี้ยงสัตว์น้ำ (ปลา) เหมือนกับการเช่านาเพื่อทำนาปลูกข้าวหรือพืชไร่ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 22 และมาตรา 26 จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 จำเลยต้องแพ้คดีตามคำท้า และแม้โจทก์ได้โอนที่พิพาทให้แก่จำเลยกับบุตรแล้วในขณะที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จำเลยก็ยังต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์นับแต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่พิพาทจนถึงวันที่โจทก์โอนที่พิพาทดังกล่าว.