พบผลลัพธ์ทั้งหมด 9 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5600/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดโจทก์, การดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ, การเพิกถอนการพิจารณา, ผลของการไม่คัดค้าน
ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานจำเลยทั้งสามซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน จำเลยทั้งสามขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าจำเลยทั้งสามไม่มีพยานมาสืบ แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามรับผิดตามฟ้อง จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองในส่วนของจำเลยที่ 3 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้จำเลยที่ 3 นำพยานเข้าสืบต่อไปและให้โจทก์นำพยานเข้าสืบหักล้างแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ย่อมหมายถึงว่าศาลฎีกาได้อนุญาตให้จำเลยที่ 3 ได้เลื่อนคดีตามที่ร้องขอ และวันสืบพยานตามความหมาย ป.วิ.พ. มาตรา 1 (10) คือวันที่ศาลชั้นต้นเริ่มทำการสืบพยานจำเลยที่ 3 ในการดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่นี้ โจทก์ทราบกำหนดวันนัดสืบพยานจำเลยที่ 3 โดยชอบแล้ว เมื่อโจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาลในวันนัด จึงถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 197 วรรคสอง (เดิม) ศาลต้องดำเนินกระบวนพิจารณาตามมาตรา 201 (เดิม) กล่าวคือ ศาลต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ แต่หากจำเลยที่ 3 ขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลต้องมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาก่อน แล้วจึงจะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้นไปฝ่ายเดียวตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 205 ถึงมาตรา 209 เดิม ซึ่งเป็นบทบัญญัติพิเศษโดยเฉพาะของวิธีพิจารณาวิสามัญอันว่าด้วยการพิจารณาโดยขาดนัดซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากกระบวนวิธีพิจารณาสามัญ ดังนั้น การที่โจทก์ขาดนัดพิจารณาแต่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างวิธีพิจารณาสามัญโดยมีคำสั่งว่าให้จำเลยที่ 3 สืบพยาน แล้วเลื่อนคดีไปให้โจทก์ซักค้านในนัดหน้า จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดระเบียบที่เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายที่เสียหายเนื่องจากการปฏิบัติผิดระเบียบนั้นร้องขอ ศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่ง อย่างไรก็ตาม มาตรา 27 วรรคสอง กำหนดกรอบระยะเวลาและเงื่อนไขการที่คู่ความจะร้องขอให้ศาลเพิกถอนการพิจารณาผิดระเบียบว่า "ข้อคัดค้านเรื่องผิดระเบียบนั้น คู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นกล่าวได้ไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น แต่ทั้งนี้คู่ความฝ่ายนั้นต้องมิได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้ว หรือต้องมิได้ให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้น ๆ" เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่ได้คัดค้านหรือร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบ กลับนำตัวจำเลยที่ 3 เข้าเบิกความจนจบคำซักค้าน แล้วต่อมาเพียงแต่ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยมาตรา 201 วรรคสอง โดยไม่ได้ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวจึงเข้าลักษณะเป็นการโต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณาเพื่อจะได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ตามมาตรา 226 (2) เท่านั้น หลังจากนั้นจำเลยที่ 3 ก็ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปจนเสร็จการพิจารณา กรณีต้องถือว่าจำเลยที่ 3 มิได้ร้องขอให้ศาลเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบภายในกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 27 วรรคสอง อีกทั้งจำเลยที่ 3 ได้ดำเนินการพิจารณาต่อไปหลังจากได้ทราบเรื่องผิดระเบียบนั้น จำเลยที่ 3 จึงไม่อาจอุทธรณ์หรือฎีกาขอให้ศาลสูงมีคำสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบเช่นว่านี้ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5047/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบเนื่องจากการส่งหมายเรียกที่ไม่ถูกต้อง และประเด็นเรื่องการยื่นคำร้องขัดเกินกำหนดเวลา
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ โดยอ้างว่าพนักงานเดินหมายไม่ได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้แก่จำเลยที่ 2 ณ ภูมิลำเนาที่ถูกต้องของจำเลยที่ 2 ตามที่โจทก์ระบุมาในคำฟ้อง อันเป็นการไม่ปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 74 (2) ซึ่งถือได้ว่าเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในเรื่องการส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่น ๆ และมาตรา 27 นั้นให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดหรือบางส่วน หรือสั่งแก้ไขหรือมีคำสั่งในเรื่องนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ศาลเห็นสมควรได้ คำร้องของจำเลยที่ 2 จึงไม่อยู่ในบังคับของ ป.วิ.พ. มาตรา 208 (ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันที่ยื่นฟ้องคดีนี้) แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลก็ไม่ทำให้เป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยที่ 2 ได้แต่งทนายความเข้ามาในคดีและทนายจำเลยที่ 2 ยื่นคำแถลงขอคัดหรือถ่ายเอกสารต่าง ๆ ในสำนวนคดีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2542 แสดงว่าจำเลยที่ 2 ได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างในเรื่องผิดระเบียบเช่นว่านี้อย่างช้าในวันดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยที่ 2 เพิ่งยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบในวันที่ 27 พฤษภาคม 2547 จึงล่วงเลยกำหนดเวลาแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง แล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้อง ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยที่ 2 ได้แต่งทนายความเข้ามาในคดีและทนายจำเลยที่ 2 ยื่นคำแถลงขอคัดหรือถ่ายเอกสารต่าง ๆ ในสำนวนคดีเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2542 แสดงว่าจำเลยที่ 2 ได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างในเรื่องผิดระเบียบเช่นว่านี้อย่างช้าในวันดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยที่ 2 เพิ่งยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบในวันที่ 27 พฤษภาคม 2547 จึงล่วงเลยกำหนดเวลาแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง แล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้อง ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4778/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบหลังพบเอกสารปลอม ทำให้คดีสามารถยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้
คำร้องขอถอนฟ้องโจทก์มีจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวเป็นผู้ทำปลอมขึ้นเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงเชื่อสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ การสั่งคำร้องของศาลชั้นต้น จึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นตัวความได้รับความเสียหาย โจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดและให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปได้ตามป.วิ.พ.มาตรา 27 ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15
เมื่อการยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของโจทก์พอแปลได้ว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบและยกคดีโจทก์ขึ้นพิจารณาต่อไป การยื่นคำร้องขอดังกล่าวมิใช่การยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ จึงไม่อาจนำป.วิ.อ.มาตรา 36 มาปรับใช้บังคับ
เมื่อการยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของโจทก์พอแปลได้ว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบและยกคดีโจทก์ขึ้นพิจารณาต่อไป การยื่นคำร้องขอดังกล่าวมิใช่การยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ จึงไม่อาจนำป.วิ.อ.มาตรา 36 มาปรับใช้บังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4778/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบหลังพบเอกสารปลอม การยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ไม่ใช่การฟ้องคดีใหม่
คำร้องขอถอนฟ้องโจทก์มีจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวเป็นผู้ทำปลอมขึ้นเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงเชื่อสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ การสั่งคำร้องของศาลชั้นต้นจึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นตัวความได้รับความเสียหาย โจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดและให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
เมื่อการยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของโจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์ประสงค์ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบและยกคดีโจทก์ขึ้นพิจารณาต่อไป การยื่นคำร้องขอดังกล่าวมิใช่การยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 36 มาปรับใช้บังคับ
เมื่อการยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของโจทก์พอแปลได้ว่า โจทก์ประสงค์ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบและยกคดีโจทก์ขึ้นพิจารณาต่อไป การยื่นคำร้องขอดังกล่าวมิใช่การยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 36 มาปรับใช้บังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4778/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบจากเอกสารปลอมและการดำเนินคดีต่อไปได้
เมื่อคำร้องขอถอนฟ้องฉบับลงวันที่ 27 สิงหาคม 2536 ศาลฎีกาได้วินิจฉัยตามคำพิพากษาฎีกาที่ 6319/2541 ว่า ส. ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวเป็นผู้ทำปลอมขึ้นเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นหลงเชื่อสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ การสั่งคำร้องขอศาลชั้นต้นจึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นตัวความได้รับความเสียหายซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดและให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 การยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2542 ของโจทก์พอแปลเจตนารมณ์ของโจทก์ได้ว่า ประสงค์ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบและยกคดีโจทก์ขึ้นพิจารณาต่อไปการยื่นคำร้องขอดังกล่าวมิใช่การยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 มาปรับใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5898/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องที่มิชอบตามกฎหมายล้มละลายและการเพิกถอนการพิจารณา
คดีล้มละลาย ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกและส่งสำเนาคำฟ้องให้แก่ลูกหนี้โดยวิธีปิดหมายซึ่งจะมีผลต่อเมื่อ 15 วันล่วงพ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 19 และต้องให้ลูกหนี้ทราบก่อนวันนัดพิจารณาไม่น้อยกว่า 7 วัน ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 13 การที่ศาลชั้นต้นให้เวลาน้อยกว่า7 วันและสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ไป จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ ศาลอุทธรณ์สั่งเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง โดยมิต้องคำนึงว่าคู่ความฝ่ายที่เสียหายได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้วหรือไม่ เพราะมิใช่กรณีที่คู่ความยกขึ้นคัดค้านตามมาตรา 27 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการพิจารณาคดี: ต้องยื่นคำร้องก่อนมีคำพิพากษา แม้จะยื่นภายใน 8 วันหลังทราบเหตุ
โจทก์กับจำเลยทั้งสามตกลงประนีประนอมยอมความกันและศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอ้างว่า การพิจารณาของศาลชั้นต้นผิดระเบียบ เนื่องจากลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในใบแต่งทนายเป็นลายมือชื่อปลอมจำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง เหตุเหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น แม้จำเลยที่ 2 จะยื่นคำร้องภายในแปดวันนับแต่วันที่ทราบเหตุดังที่อ้างมาก็ตาม แต่ยื่นมาภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 44/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำร้องเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบต้องยื่นก่อนมีคำพิพากษา แม้จะยื่นภายใน 8 วันหลังทราบเหตุ
โจทก์กับจำเลยทั้งสามตกลงประนีประนอมยอมความกันและศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องอ้างว่า การพิจารณาของศาลชั้นต้นผิดระเบียบ เนื่องจากลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในใบแต่งทนายเป็นลายมือชื่อปลอมจำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง เหตุเหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น แม้จำเลยที่ 2 จะยื่นคำร้องภายในแปดวันนับแต่วันที่ทราบเหตุดังที่อ้างมาก็ตาม แต่ยื่นมาภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8435/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการพิจารณาคดี: จำเลยต้องยื่นคำร้องภายใน 8 วันนับจากวันที่ทราบข้อผิดพลาด
การนั่งพิจารณาคดีไม่ว่าจะนั่งพิจารณาโดยผู้พิพากษาคนเดียวหรือนั่งพิจารณาคดีโดยไม่ครบองค์คณะ หากปฏิบัติไม่ถูกต้องตามที่พระธรรมนูญศาลยุติธรรมบัญญัติไว้แล้ว ถือได้ว่าเป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายในข้อที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนในการพิจารณาคดี อันเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ซึ่ง ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 กำหนดให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายเนื่องจากการที่มิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดหรือบางส่วน หรือสั่งแก้ไขหรือมีคำสั่งในเรื่องนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ศาลเห็นสมควรได้ไม่ว่าในเวลาใด ๆ ก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น จำเลยจึงชอบที่จะยกข้อคัดค้านในเรื่องผิดระเบียบดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างภายในเวลาไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่จำเลยได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น เมื่อจำเลยทราบถึงการนั่งพิจารณาคดีที่อ้างว่าผิดระเบียบดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 แต่จำเลยยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 จึงช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่จำเลยได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นแล้ว จำเลยย่อมหมดสิทธิยกขึ้นอ้างเพื่อขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาคดีดังกล่าวแล้วพิจารณาคดีใหม่ได้