คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เพิกถอนคำพิพากษา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 16 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4366/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนคำพิพากษายกฟ้องจากเหตุผลการไม่มาศาล ศาลต้องไต่สวนก่อนตัดสิน
การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะเห็นว่าโจทก์จงใจไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์นั้น เป็นการยกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 166 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 181 ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงในสำนวนความปรากฏว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2545 โจทก์มายื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำพิพากษาดังกล่าว ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2545 หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพียง 7 วัน ยังไม่เกิน 15 วัน นับแต่วันศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ทั้งคำร้องของโจทก์ก็ได้แสดงเหตุยืนยันว่าโจทก์ได้มาศาลตามกำหนดนัดแล้วเพียงแต่โจทก์ยังติดการดำเนินคดีอาญาอื่น ซึ่งศาลได้นัดพิจารณาไว้ในวันเวลาเดียวกันก่อน เสร็จแล้วจึงจะมาดำเนินคดีนี้ต่อไป ซึ่งหากเป็นความจริงตามคำร้องก็นับว่ามีเหตุสมควรที่โจทก์ไม่ได้มาดำเนินคดีนี้ตามกำหนดนัด ศาลชอบที่จะไต่สวนคำร้องของโจทก์เสียก่อน จึงจะวินิจฉัยได้ว่าที่โจทก์ไม่มาดำเนินคดีนี้ตามกำหนดนัดมีเหตุสมควรหรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองด่วนวินิจฉัยสั่งยกคำร้องของโจทก์โดยไม่ไต่สวนให้ได้ความจริงเสียก่อน จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 166 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 181

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9867/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาและการรับฎีกาเนื่องจากจำเลยมิได้วางค่าธรรมเนียมศาลตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์โดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งว่า ก่อนอ่านคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยทั้งสองวางเงินให้ครบถ้วนก่อน หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ส่งคำพิพากษาคืนศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อดำเนินต่อไป แต่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไปโดยมิได้แจ้งคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยทั้งสองทราบก่อน ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้มีหมายแจ้งคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยทั้งสองทราบและมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสอง ก็มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาล กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในเรื่องการอ่านอุทธรณ์และคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการอ่าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และคำสั่งรับฎีกาของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นส่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คืนศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อดำเนินต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4998/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนคำพิพากษาศาลฎีกาและการรับรู้การนัดฟังคำพิพากษาของทนายความแทนตัวความ
คำร้องของฝ่ายโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียว มีโจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียวลงลายมือชื่อในคำร้อง แม้คำร้องจะระบุว่าเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 1 กับพวก และระบุว่าผู้ร้องโจทก์ทั้งสาม แต่ไม่ปรากฏหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ทำแทนโจทก์ที่ 2 คำร้องดังกล่าวจึงไม่มีผลเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 2 ด้วย
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ที่ปราศจากกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นอันโจทก์ที่ 2 จะพึงยกขึ้นอุทธรณ์ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ ศาลฎีกาก็ไม่รับฎีกาของโจทก์ที่ 2 ไว้วินิจฉัย
ทนายโจทก์ทั้งสามได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้น ขอถ่ายสำเนาถ้อยคำสำนวนหลายรายการ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540 โดยกล่าวไว้ในคำแถลงด้วยว่าศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 เวลา 13.30 นาฬิกาจึงเป็นการยืนยันโดยชัดแจ้งว่า ทนายโจทก์ทั้งสามทราบนัดในวันดังกล่าวแล้ว และเนื่องจากทนายความนอกจากมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตัวความทนายความยังอยู่ในฐานะตัวแทนในคดีของตัวความด้วย การที่ทนายความทราบนัดย่อมถือได้โดยชอบว่า ตัวความทราบนัดแล้ว ย่อมรับฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทราบนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2540เป็นอย่างช้า โดยมิพักต้องพิจารณาว่าการส่งหมายนัดถึงโจทก์ที่ 1 ชอบหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนัดดังกล่าว จึงเป็นการชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการอ่าน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4998/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา: การทราบนัดผ่านทนายความ ถือว่าตัวความทราบนัด
คำร้องของฝ่ายโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียว มีโจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียวลงลายมือชื่อในคำร้อง แม้คำร้องจะระบุว่าเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 1 กับพวก และระบุว่าผู้ร้องโจทก์ทั้งสาม แต่ไม่ปรากฏหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ที่ 1 ทำแทนโจทก์ที่ 2 คำร้องดังกล่าวจึงไม่มีผลเป็นคำร้องของโจทก์ที่ 2 ด้วย
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ที่ปราศจากกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นอันโจทก์ที่ 2 จะพึงยกขึ้นอุทธรณ์ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ ศาลฎีกาก็ไม่รับฎีกาของโจทก์ที่ 2 ไว้วินิจฉัย
ทนายโจทก์ทั้งสามได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้น ขอถ่ายสำเนาถ้อยคำสำนวนหลายรายการ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540 โดยกล่าวไว้ในคำแถลงด้วยว่าศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 เวลา 13.30 นาฬิกา จึงเป็นการยืนยันโดยชัดแจ้งว่า ทนายโจทก์ทั้งสามทราบนัดในวันดังกล่าวแล้ว และเนื่องจากทนายความนอกจากมีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตัวความทนายความยังอยู่ในฐานะตัวแทนในคดีของตัวความด้วย การที่ทนายความทราบนัดย่อมถือได้โดยชอบว่าตัวความทราบนัดแล้ว ย่อมรับฟังได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทราบนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2540 เป็นอย่างช้า โดยมิพักต้องพิจารณาว่าการส่งหมายนัดถึงโจทก์ที่ 1 ชอบหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนัดดังกล่าว จึงเป็นการชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการอ่าน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3758/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้จำเลยไม่ทราบถึงการพิจารณาคดี ศาลฎีกาเพิกถอนการอ่านคำพิพากษา
จำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ตลอดจนหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เนื่องจากบ้านเลขที่ตามฟ้องจำเลยทั้งสองใช้เป็นสถานที่สำหรับเก็บยางรถยนต์เก่าเท่านั้น ไม่มีผู้ใดพักอาศัยอยู่เลย แม้จำเลยที่ 2จะมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามฟ้อง แต่จำเลยที่ 2ก็ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 1 ที่บ้านเลขที่355/17-18 แสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ใช้บ้านเลขที่ตามฟ้องเป็นสถานที่อยู่อันเป็นแหล่งสำคัญอีกแห่งหนึ่ง กรณีเช่นนี้ต้องถือว่าจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่355/17-18 การที่ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสองที่บ้านเลขที่ตามฟ้องจึงมีเหตุผลเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งสองยังไม่ทราบนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อจำเลยทั้งสองไม่มาศาลย่อมไม่อาจถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสองฟังโดยชอบแล้วศาลฎีกาชอบที่จะเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6427/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลคำพิพากษาถึงที่สุดผูกพันคู่ความ ผู้แพ้คดีไม่อาจขอให้ศาลเพิกถอนคำพิพากษาด้วยเหตุฟังพยานหลักฐานผิด
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งว่าคำพิพากษาในคดีแพ่งเป็นโมฆะเพราะศาลฟังพยานหลักฐานผิดไปจากความเป็นจริงปรากฏว่าคดีดังกล่าวได้ถึงที่สุดไปแล้วโดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าบ้านพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของส. โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยผลแห่งคำพิพากษาถึงที่สุดดังกล่าวย่อมผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145ผู้ร้องจำต้องรับผลแห่งคำพิพากษานั้นจะมาโต้เถียงอีกว่าคำพิพากษาพิจารณาไปโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงและศาลพิจารณาข้อเท็จจริงในคำพิพากษาไม่ตรงกับความเป็นจริงทั้งๆที่คำพิพากษาให้เป็นฝ่ายแพ้คดีหาได้ไม่ทั้งมิใช่กรณีที่มีกฎหมายสนับสนุนให้ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลอันจะยื่นคำร้องเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทเป็นคดีนี้ได้ตามมาตรา55และการขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา27นั้นจะต้องยื่นคำร้องขอในคดีที่อ้างว่ามีการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเองจะยื่นคำร้องขอเป็นคดีใหม่ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1947/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการเพิกถอนคำพิพากษา: การฟ้องคดีใหม่เพื่อขอเพิกถอนคำพิพากษาเดิมทำไม่ได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคแรกบัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งนับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งจนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสียถ้าหากมีเมื่อโจทก์ทั้งสองเห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องโจทก์ทั้งสองก็ชอบที่จะอุทธรณ์ฎีกาเพื่อให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกามีคำพิพากษาหรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขต่อไปสำหรับการ บังคับคดีนั้นเมื่อโจทก์ที่1ซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลจำเลยที่2ซึ่งเป็นฝ่ายชนะชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271หากโจทก์ทั้งสองประสงค์จะขอให้งดการบังคับคดีไว้ก็ต้องยื่นคำร้องขอในคดีเดิมโจทก์ทั้งสองไม่อาจฟ้องขอให้ เพิกถอนคำพิพากษาหรือขอให้สั่ง งดการบังคับคดีเป็นคดีใหม่ได้เมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องเป็นคดีใหม่ไม่ได้ก็ไม่อาจนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา254มาใช้บังคับแก่จำเลยทั้งสี่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1947/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนคำพิพากษาและการขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาเมื่อฟ้องคดีใหม่ไม่ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคแรกบัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งนับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งจนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสียถ้าหากมีเมื่อโจทก์เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องก็ชอบที่จะอุทธรณ์ฎีกาเพื่อให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกามีคำพิพากษาหรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขต่อไปสำหรับการบังคับคดีนั้นเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายชนะชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271หากโจทก์ประสงค์จะขอให้งดการบังคับคดีไว้ก็ต้องยื่นคำร้องขอให้คดีเดิมโจทก์ไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาหรือขอให้งดการบังคับคดีเป็นคดีใหม่ได้เมื่อโจทก์ฟ้องเป็นคดีใหม่ไม่ได้ก็ไม่อาจนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา254มาใช้บังคับแก่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนคำพิพากษาและการพิจารณาอุทธรณ์หลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความ คดีแรงงาน
ภายหลังจากที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแล้ว จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางขอให้พิจารณาใหม่ ศาลแรงงานกลางฟังว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดจึงอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงกันได้ ศาลแรงงานกลางได้พิพากษาตามยอมแล้ว แม้ศาลแรงงานกลางเพิกถอนกระบวนพิจารณาและคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง แต่ศาลแรงงานกลางไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาหรือคำสั่งอื่น ๆ ของศาลฎีกา แม้โจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลย และศาลแรงงานกลางพิพากษาตามยอมแล้ว แต่โจทก์ยังไม่ได้ถอนอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงต้องพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไป เมื่อโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความจนศาลแรงงานกลางพิพากษาตามยอมไปแล้ว ข้อโต้แย้งตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางจึงหมดไปไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไป พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1592/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ-คำพิพากษาถึงที่สุด: ศาลไม่รับฟ้องเพิกถอนคำพิพากษาเดิมหากไม่ใช้กระบวนการตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 เคยฟ้องโจทก์กับจำเลยที่ 4 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมสัญญาให้ที่ดินซึ่ง ท.ภิริยาจำเลยที่ 1 ยกให้โจทก์และจำเลยที่ 4 โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ส่วนจำเลยที่ 4 ยอมรับว่าเป็นจริงตามฟ้อง ศาลพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมสัญญาดังกล่าว คดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาในคดีดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์กับจำเลยที่ 1 หากโจทก์จะขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาคดีดังกล่าวก็ต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ,208,และ 209 คือขอให้มีการพิจารณาใหม่การที่โจทก์มาฟ้องเป็นคดีใหม่ขอให้ศาลพิจารณาเพิกถอนคำพิพากษาคดีก่อนย่อมเป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ในส่วนที่เกี่ยวกันเช่นนี้จำเลยที่ 1 จึงเป็นคำฟ้องซึ่งศาลไม่พึงรับไว้พิจารณา
เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนคำพิพากษาคดีก่อนเสียแล้ว คำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ท.โอนใส่ชื่อตนเองกับจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับมรดกแล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ทำนิติกรรมยกที่ดินแปลงดังกล่าวโอนกลับคืนให้จำเลยที่ 4 ครึ่งหนึ่งของเนื้อที่ จึงให้จำเลยทั้งสี่ไปดำเนินการเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนต่างๆเสีย ให้โจทก์กับจำเลยที่ 4 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิตามเดิมนั้นย่อมไม่เป็นคำฟ้องอันพึงรับไว้พิจารณาเช่นกัน
of 2