พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2851/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ สัญญาซื้อขายที่ดิน: เหตุต่างกัน ฟ้องได้ แม้คดีก่อนศาลยกฟ้อง
จำเลยทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์อ้างว่าจำเลยผิดสัญญาและบอกเลิกสัญญา โจทก์จึงได้ฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายและค่ามัดจำคืนจากจำเลยศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดไปแล้ว แม้ที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกโดยอ้างสัญญาจะซื้อจะขายฉบับเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีก่อนก็ตาม แต่โจทก์ก็อ้างเหตุที่ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทในคดีนี้ว่า หลังจากคดีก่อนถึงที่สุดแล้วน.ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลขอให้บังคับจำเลยยื่นเรื่องราวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ทำการรังวัดและจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวจำนวนครึ่งแปลงให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ น.และ พ. ซึ่งต่อมาปรากฏว่าจำเลยกับ น.ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล ตกลงจะทำการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์กันให้ที่ดินครึ่งแปลงทางด้านทิศเหนือเป็นส่วนของ น. และ พ. และให้ที่ดินทางด้านทิศใต้เป็นส่วนของจำเลย เจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดที่ดินตามคำสั่งศาล ผลการรังวัดสามารถคำนวณเนื้อที่ดินพิพาททั้งแปลงได้แล้ว ทำให้โจทก์กับจำเลยทราบจำนวนเนื้อที่ดินซึ่งจำเลยตกลงขายให้แก่โจทก์แน่นอนและสามารถคำนวณเงินราคาที่ดินตามจำนวนเนื้อที่ดินที่แน่นอน โจทก์จึงบอกกล่าวถึงจำเลยอีกครั้งหนึ่งและขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินส่วนซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยให้โจทก์ซึ่งเป็นคนละเหตุกับคดีก่อนที่โจทก์อ้างเหตุในการขอเลิกสัญญาแก่จำเลยว่าจำเลยไม่ทำการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อให้ทราบจำนวนเนื้อที่ดินที่แน่นอนโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย ดังนั้น เมื่อประเด็นของคดีเดิมและคดีนี้ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุต่างกัน ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาจะซื้อจะขายสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่เลิกกัน และการที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเป็นการไม่ชอบ คำพิพากษาย่อมผูกพันทั้งโจทก์และจำเลยทุกส่วน มิใช่ผูกพันเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง เมื่อคำพิพากษาผูกพันโจทก์จำเลยและต้องถือว่า สัญญาจะซื้อจะขายยังไม่เลิกกัน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามต้องถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา
คดีก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาจะซื้อจะขายสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่เลิกกัน และการที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเป็นการไม่ชอบ คำพิพากษาย่อมผูกพันทั้งโจทก์และจำเลยทุกส่วน มิใช่ผูกพันเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง เมื่อคำพิพากษาผูกพันโจทก์จำเลยและต้องถือว่า สัญญาจะซื้อจะขายยังไม่เลิกกัน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามต้องถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 683/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิม หากเหตุต่างกันไม่อาจรวมพิจารณาได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์โดยการลงข่าวในหนังสือพิมพ์ออกจำหน่ายขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำเลยทั้งสามให้การว่าไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์เฉพาะจำเลยที่3ฟ้องแย้งว่าการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่3เป็นคดีนี้ทำให้จำเลยที่3ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชังหมดความเชื่อถือในการประกอบอาชีพขอให้ชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นเรื่องที่จำเลยที่3กล่าวหาว่าการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยที่3เป็นคดีนี้ทำให้จำเลยที่3ได้รับความเสียหายดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยที่3อาศัยเหตุต่างกันจึงเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1259/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่ที่ไม่เป็นฟ้องซ้ำ แม้มีข้อพิพาทเดิม หากมีการบอกเลิกสัญญาเช่าใหม่และมีเหตุต่างกัน
คดีก่อน ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยฟังว่ามีการเช่าจริงแต่โจทก์ยังมิได้บอกเลิกการเช่า จึงฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้ ดังนี้ เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่ากับจำเลยแล้วโจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1081/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่ที่ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ แม้คดีก่อนอ้างเหตุชำรุดทรุดโทรม แต่คดีหลังอ้างเหตุมีคำสั่งอนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมการเช่า
คดีแรก โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างเหตุว่าห้องเช่าชำรุดทรุดโทรมและโจทก์ไม่มีที่อยู่ จะรื้อปลูกใหม่และอยู่เอง ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ส่วนคดีหลัง โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอีก อ้างเหตุว่าเพราะได้รับคำสั่งอนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมการเช่าฯ ให้โจทก์รื้อห้องพิพาทปลูกสร้างใหม่และเข้าอยู่เองได้ โดยอาศัยเหตุต่างกันคนละประเด็นกับคดีแรกเช่นนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นฟ้องซ้ำ
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าฯ พ.ศ.2504 ไม่ได้บังคับว่าผู้ให้เช่าจะดำเนินการ (ร้องขอรื้อห้องพิพาทเพื่อสร้างใหม่และเข้าอยู่เอง) แต่ฝ่ายเดียวไม่ได้ หรือคณะกรรมการควบคุมการเช่าจะต้องให้ผู้เช่าทราบเพื่อได้มีโอกาสโต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใด แม้คณะกรรมการควบคุมการเช่าจะไม่ได้ให้ผู้เช่าทราบหรือเรียกมาชี้แจง ก็หาทำให้คำสั่งของคณะกรรมการควบคุมการเช่ากลายเป็นคำสั่งที่มิชอบไปไม่ เมื่อคณะกรรมการควบคุมการเช่าใช้ดุลพินิจเห็นสมควรและมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ให้เช่ารื้อห้องพิพาทปลูกสร้างใหม่และเข้าอยู่เองกับแจ้งคำสั่งให้ผู้เช่าทราบแล้ว ผู้เช่ามิได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนั้น คำสั่งย่อมเด็ดขาด ศาลไม่มีอำนาจพิจารณาว่าคณะกรรมการฯอนุญาตไปโดยมีเหตุสมควรหรือไม่
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าฯ พ.ศ.2504 ไม่ได้บังคับว่าผู้ให้เช่าจะดำเนินการ (ร้องขอรื้อห้องพิพาทเพื่อสร้างใหม่และเข้าอยู่เอง) แต่ฝ่ายเดียวไม่ได้ หรือคณะกรรมการควบคุมการเช่าจะต้องให้ผู้เช่าทราบเพื่อได้มีโอกาสโต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใด แม้คณะกรรมการควบคุมการเช่าจะไม่ได้ให้ผู้เช่าทราบหรือเรียกมาชี้แจง ก็หาทำให้คำสั่งของคณะกรรมการควบคุมการเช่ากลายเป็นคำสั่งที่มิชอบไปไม่ เมื่อคณะกรรมการควบคุมการเช่าใช้ดุลพินิจเห็นสมควรและมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ให้เช่ารื้อห้องพิพาทปลูกสร้างใหม่และเข้าอยู่เองกับแจ้งคำสั่งให้ผู้เช่าทราบแล้ว ผู้เช่ามิได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนั้น คำสั่งย่อมเด็ดขาด ศาลไม่มีอำนาจพิจารณาว่าคณะกรรมการฯอนุญาตไปโดยมีเหตุสมควรหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1687/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าไม่ได้จดทะเบียนมีผลบังคับใช้ 3 ปี การฟ้องขับไล่ไม่เป็นการฟ้องซ้ำหากเหตุต่างกัน
คดีแรกโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอาศัยเหตุที่คณะกรรมการควบคุมค่าเช่าลงมติให้โจทก์เข้าอยู่ในห้องพิพาทได้ ศาลพิพากษาให้ยกฟ้องไปแล้ว คดีหลังโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอีก แต่อาศัยเหตุที่สัญญาเช่าหมดอายุแล้ว เช่นนี้ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ เพราะอาศัยเหตุที่ฟ้องต่างกัน
เมื่อฟังว่าจำเลยเช่าเพื่อประกอบการค้าโดยตรง ก็ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ
ทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์กันไว้ 5 ปี แต่ไม่มีการจดทะเบียนการเช่า ย่อมมีผลบังคับได้เพียง 3 ปีเท่านั้น เมื่อครบ 3 ปีแล้วผู้ให้เช่าก็มีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าได้
ทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์กันไว้ 5 ปี แต่เมื่อไม่ปรากฎในหนังสือสัญญาเช่าว่าจะไปจดทะเบียนการเช่าในภายหลัง ย่อมไม่ผูกพันผู้รับโอนทรัพย์ที่ให้เช่า ให้จำต้องไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่ผู้เช่า.
เมื่อฟังว่าจำเลยเช่าเพื่อประกอบการค้าโดยตรง ก็ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ
ทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์กันไว้ 5 ปี แต่ไม่มีการจดทะเบียนการเช่า ย่อมมีผลบังคับได้เพียง 3 ปีเท่านั้น เมื่อครบ 3 ปีแล้วผู้ให้เช่าก็มีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าได้
ทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์กันไว้ 5 ปี แต่เมื่อไม่ปรากฎในหนังสือสัญญาเช่าว่าจะไปจดทะเบียนการเช่าในภายหลัง ย่อมไม่ผูกพันผู้รับโอนทรัพย์ที่ให้เช่า ให้จำต้องไปจดทะเบียนการเช่าให้แก่ผู้เช่า.