พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3846/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกเคหสถานพร้อมอาวุธและการชิงทรัพย์: เจตนาทุจริตและเหตุผลในการกระทำ
จำเลยถือปืนบุกรุกเข้าไปในห้องเช่าอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหายโดยเพื่อเอาเรื่องกับ ว. สามีผู้เสียหายที่ทำร้ายจำเลยเมื่อถูกจำเลยทวงหนี้ แต่ไม่พบ ว. จำเลยมิได้จ้องปืนมาทางผู้เสียหายแล้วจำเลยเอาเครื่องรับโทรศัพท์ไร้สายและมีดของผู้เสียหายกับเสื้อของ ว. ไป ก่อนหยิบเสื้อของ ว. จำเลยพูดว่าเอาเสื้อไปนะ ทั้งขณะที่หยิบเสื้อของ ว. ซึ่งแขวนอยู่ที่ไม้แขวนเสื้อและเครื่องรับโทรศัพท์ไร้สาย จำเลยถืออาวุธปืนอยู่ในมือข้างเดียวกับที่ถือไม้แขวนเสื้อ จึงมิได้หยิบเสื้อของ ว. ไปโดยพลการ และการที่จำเลยถืออาวุธปืนในลักษณะดังกล่าวไม่อยู่ในสภาพที่จะทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว จนไม่กล้าขัดขวางจำเลย การที่จำเลยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายและ ว. ไปจึงมิใช่เกิดจากการที่จำเลยใช้อาวุธปืนขู่เข็ญผู้เสียหายอันจะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
จำเลยเอาเครื่องรับโทรศัพท์ไร้สายของผู้เสียหายและเสื้อของ ว.ไปเพื่อให้ ว. นำฝาถังน้ำมันรถยนต์ของจำเลยไปแลกทรัพย์ดังกล่าวคืน และจำเลยมีฐานะการเงินดี แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
จำเลยเอาเครื่องรับโทรศัพท์ไร้สายของผู้เสียหายและเสื้อของ ว.ไปเพื่อให้ ว. นำฝาถังน้ำมันรถยนต์ของจำเลยไปแลกทรัพย์ดังกล่าวคืน และจำเลยมีฐานะการเงินดี แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 708/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยเจตนาและเหตุผลในการกระทำ: บันดาลโทสะ vs. ปกปิดความผิด
ตอนแรกจำเลยที่ 1 ใช้ไม้ตี ก. เพราะถูก ก. ดุ ด่า และทำร้ายร่างกาย แต่หลังจาก ก. ดุด่าและทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1แล้ว ก. ได้เดินเข้าไปนั่งซ่อมโทรศัพท์อยู่ในห้อง จำเลยที่ 1เดินไปหาไม้ที่หลังบ้านมีช่วงเวลาที่จะคิดได้ว่าสมควรทำร้าย ก.หรือไม่ จำเลยที่ 1 หาไม่ได้แล้วเดินเข้าไปตี ก. ในขณะที่กำลังนั่งซ่อมโทรศัพท์อยู่ ก. ยังมีลมหายใจอยู่และส่งเสียงร้องจำเลยที่ 1 เกรงว่าเพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงร้อง จึงใช้ผ้ารัดคอโดยแรงจนกระทั่งแน่นิ่งไปซึ่งเป็นการกระทำที่มีสาเหตุมาจากเกรงว่าเพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงร้อง มิใช่เพราะสาเหตุถูกข่มเหงจึงมิใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 หลังจากจำเลยที่ 1 ฆ่า ก. แล้ว ขณะกำลังหาที่ซุกซ่อนศพและกลบเกลื่อนหลักฐานอยู่นั้น ส. บุตร ก. ได้เข้ามาเห็นสภาพภายในห้องที่เกิดเหตุซึ่งมีพิรุธผิดสังเกต จำเลยที่ 1เห็นเช่นนั้นก็ใช้ไม้ตี ส. เพื่อปกปิดความผิดฐานฆ่า ก.การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการฆ่า ส. เพื่อปกปิดความผิดอื่นและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ จำเลยที่ 1 ใช้ไม้ตี ส.หลายทีเมื่อส. ยังไม่ตาย จึงใช้ผ้ารัดคออีกจนถึงแก่ความตาย เป็นวิธีธรรมดาในการฆ่าให้ถึงแก่ความตายไป มิใช่เป็นการฆ่าโดยทารุณโหดร้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6535/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกและการทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาเหตุผลในการกระทำ และการใช้ดุลพินิจตามกฎหมายอาญามาตรา 72
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะบทมาตราแห่งความผิดส่วนกำหนดโทษคงเป็นไปตามเดิมคือปรับ 1,000 บาท จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
การที่จำเลยที่ 1 เข้าไปในบ้านของโจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเพื่อสอบถามเรื่องราวจากโจทก์ร่วมที่ 2 คนใช้ของโจทก์ร่วมที่ 1 ถึงเรื่องที่โจทก์ร่วมที่ 2 เล่าให้คนใช้ของจำเลยฟังว่าจำเลยที่ 2 สามีของจำเลยที่ 1 เป็นชู้กับคนใช้เก่านั้น กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควรและการที่จำเลยที่ 2 ตามจำเลยที่ 1 เข้าไปในบ้านของโจทก์ร่วมที่ 1 เมื่อมีเสียงดังขึ้นภายในบ้านเพื่อดูว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นนั้นก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เข้าไปโดยไม่มีเหตุสมควรเช่นกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364
จำเลยที่ 1 ด่าโจทก์ร่วมที่ 2 ว่าเป็นไพร่เอาเรื่องไม่จริงมาพูด โจทก์ร่วมที่ 2 ตอบว่าไม่ได้พูดและกล่าวว่าจำเลยที่ 1 ใส่ร้าย จำเลยที่ 1 จึงตบหน้าโจทก์ร่วมที่ 2 ดังนี้ การที่โจทก์ร่วมที่ 2 กล่าวถ้อยคำดังกล่าวเป็นเพียงการปฏิเสธเรื่องที่จำเลยที่ 1 สอบถามเท่านั้น แม้โจทก์ร่วมที่ 2 จะใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมแก่จำเลยที่ 1 อยู่บ้างก็เป็นเพราะจำเลยที่ 1 ได้ด่าว่าโจทก์ร่วมที่ 2 ก่อน กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
การที่จำเลยที่ 1 เข้าไปในบ้านของโจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเพื่อสอบถามเรื่องราวจากโจทก์ร่วมที่ 2 คนใช้ของโจทก์ร่วมที่ 1 ถึงเรื่องที่โจทก์ร่วมที่ 2 เล่าให้คนใช้ของจำเลยฟังว่าจำเลยที่ 2 สามีของจำเลยที่ 1 เป็นชู้กับคนใช้เก่านั้น กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควรและการที่จำเลยที่ 2 ตามจำเลยที่ 1 เข้าไปในบ้านของโจทก์ร่วมที่ 1 เมื่อมีเสียงดังขึ้นภายในบ้านเพื่อดูว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นนั้นก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เข้าไปโดยไม่มีเหตุสมควรเช่นกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364
จำเลยที่ 1 ด่าโจทก์ร่วมที่ 2 ว่าเป็นไพร่เอาเรื่องไม่จริงมาพูด โจทก์ร่วมที่ 2 ตอบว่าไม่ได้พูดและกล่าวว่าจำเลยที่ 1 ใส่ร้าย จำเลยที่ 1 จึงตบหน้าโจทก์ร่วมที่ 2 ดังนี้ การที่โจทก์ร่วมที่ 2 กล่าวถ้อยคำดังกล่าวเป็นเพียงการปฏิเสธเรื่องที่จำเลยที่ 1 สอบถามเท่านั้น แม้โจทก์ร่วมที่ 2 จะใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมแก่จำเลยที่ 1 อยู่บ้างก็เป็นเพราะจำเลยที่ 1 ได้ด่าว่าโจทก์ร่วมที่ 2 ก่อน กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในข้อเท็จจริงและการป้องกันสิทธิ: การยิงโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนร้าย
จำเลยถูกขว้างหลังคาบ้านจึงไปแจ้งความตำรวจ กลางคืนตำรวจกับพวกเข้าไปดูคนร้ายในบริเวณบ้านจำเลย โดยมิได้แจ้งให้จำเลยทราบ. และคืนนั้นก็มีคนขว้างหลังคาบ้านจำเลยอีก จึงเป็นเหตุให้จำเลยเข้าใจผิดคิดไปได้ว่าอาจเป็นคนร้ายที่ขว้างบ้าน และอาจเข้ามาประพฤติการอันมิชอบต่อจำเลย โดยขว้างหลังคาบ้านก่อนแล้วบุกรุกเข้าจะทำร้ายจำเลย จำเลยจึงได้ใช้ปืนยิงและร้องบอกกล่าวว่าขโมยเข้าปล้น กระสุนปืนถูกพวกที่ไปกับตำรวจตาย เห็นได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงเพราะสำคัญผิดคิดว่าตำรวจกับพวกเป็นคนร้าย เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าจำเลยเพียงแต่จะยิงขู่ก็น่าจะเป็นการเพียงพอที่จะทำให้คนที่เข้ามาเกรงกลัวและหลบหนีไป จำเลยกลับยิงเข้าใส่กลุ่มคนที่เดินเข้ามา การกระทำของจำเลยจึงเกินสมควรแก่เหตุ