พบผลลัพธ์ทั้งหมด 15 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12595/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิด: เริ่มนับเมื่อรู้เหตุละเมิดและตัวผู้ต้องชดใช้ค่าเสียหาย แม้การละเมิดสิ้นสุดลงแล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิดจากการที่จำเลยขออายัดที่ดินของโจทก์ไว้ มูลละเมิดจึงเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ขออายัดที่ดินโจทก์ไว้เท่านั้น หาใช่การกระทำโดยละเมิดต่อโจทก์ต่อเนื่องกันตลอดมาจนถึงวันที่จำเลยถอนอายัดไม่ ฟ้องโจทก์จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ไม่สามารถขายที่ดินได้เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2537 ย่อมแสดงว่าโจทก์รู้เหตุละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนับแต่นั้น โจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกำหนด 1 ปี คดีจึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5156/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำท้าตรวจสอบอาคารพิพาทต้องระบุฝ่ายที่เอนมาเป็นเหตุละเมิดชัดเจน มิใช่ระบุเพียงอาคารทั้งสองหลังเอียง
โจทก์ จำเลยตกลงท้ากันว่าหากโยธาธิการจังหวัดหรือวิศวกรของโยธาธิการจังหวัดชี้ขาดว่าตึกของโจทก์หรือของจำเลยเป็นฝ่ายที่เอนมาจนเป็นเหตุให้เกิดการละเมิด คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้คดี ส่วนเรื่องค่าเสียหายคู่ความท้ากันขอให้โยธาธิการจังหวัดหรือวิศวกรของโยธาธิการจังหวัดเป็นผู้ตรวจสอบความเสียหายและคิดคำนวณโดยให้ระบุค่าแรงและค่าวัสดุในการซ่อมแซมตึกไว้ด้วยวิศวกรของโยธาธิการจังหวัดไปตรวจสอบตึกพิพาทของโจทก์ จำเลย แล้วมีหนังสือของโยธาธิการจังหวัดตอบว่า อาคารพิพาทเกิดจากการเอียงของตัวอาคารทั้งสองหลังโดยแต่ละหลังต่างก็เอียงเข้าหากันสาเหตุไม่น่าจะเกิดจากการออกแบบหรือการควบคุมงานก่อสร้างที่ผิดพลาดเนื่องจากอาคารทั้งสองหลังมีอายุการใช้งานมานานกว่า 10 ปีแล้วทั้งไม่พบลักษณะการวิบัติของโครงสร้างอาคารที่พอจะชี้ประเด็นว่าเกิดจากความผิดพลาดของการออกแบบและควบคุมงานก่อสร้าง เช่น คาน หรือเสาแตกหักแต่อย่างใด การเอียงตัวของอาคารทั้งสองหลังน่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คือน่าจะเกิดจากความสามารถในการรับน้ำหนักของดินใต้ฐานรากอาคารทั้งสองหลังมีความสามารถในการรับน้ำหนักลดลงน่าจะเกิดจากมีการไหลซึมของน้ำผิวดินลงไปสู่ดินใต้ฐานรากอาคารทำให้ดินใต้ฐานรากอาคารอ่อนตัวลงหรือเกิดจากระดับน้ำใต้ดินที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนเรื่องค่าเสียหายนั้นคู่กรณีแต่ละฝ่ายต่างน่าจะรับผิดชอบค่าเสียหายและซ่อมแซมส่วนที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง ดังนี้หนังสือของโยธาธิการจังหวัดยังไม่เป็นการชี้ขาดประเด็นพิพาทตามคำท้า คู่ความต้องดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9746/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: การยกเลิกและการรับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากเหตุละเมิด
สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นระหว่างคู่กรณีมีผลให้ระงับสิทธิเรียกร้องของคู่กรณีเดิมและก่อให้เกิดสิทธิใหม่ตามที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่หลังจากทำแล้วคู่กรณีย่อมจะแสดงเจตนาเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นหรือยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ได้ตามสมัครใจเมื่อต่อมาคู่กรณีได้แสดงเจตนายกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว จึงไม่จำต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 411/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของลูกจ้างชั่วคราวต่อเหตุละเมิดจากการขับรถยนต์
จำเลยที่1กับ ป. มีหน้าที่ครอบครองและควบคุมดูแลรถยนต์รวมทั้งมีหน้าที่ขับรถยนต์ของโจทก์และต่างก็เป็นลูกจ้างชั่วคราวของโจทก์ด้วยกันหากจะถือว่าจำเลยที่1เป็นหัวหน้าคนงานการสั่งให้ป. ขับรถยนต์ไปบรรทุกหินก็เป็นการสั่งให้ ป. ไปปฏิบัติหน้าที่ในราชการของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่1ร่วมประมาทเลินเล่อกับ ป. ด้วยเมื่อเหตุละเมิดครั้งนี้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของ ป. แต่ผู้เดียวโดยที่จำเลยที่1ไม่ได้ครอบครองหรือควบคุมดูแลรถยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา437จำเลยที่1จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับ ป. ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 507/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีแพ่ง: เริ่มนับเมื่อทราบเหตุละเมิดและตัวผู้กระทำผิด หลังคณะกรรมการสอบสวนแจ้งผล
คณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่งของโจทก์ได้สอบสวนแล้วมีความเห็นว่า ไม่สมควรมีผู้หนึ่งผู้ใดต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย โจทก์จึงไม่อาจรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัว ผู้จะพึง ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ เมื่อกระทรวงการคลังแจ้งความเห็น ของคณะกรรมการสอบสวนหาผู้รับผิดทางแพ่ง ซึ่งตั้งขึ้นโดยคณะรัฐมนตรี ให้โจทก์ทราบว่าจำเลยขับรถโดยประมาทต้องรับผิดทางแพ่งวันใด จึง ถือได้ว่าโจทก์ทราบเหตุละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ ค่าสินไหมทดแทนในวันนั้น โจทก์ฟ้องคดีภายในหนึ่งปี คดีโจทก์จึง ยังไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 646/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดคนละคราว: ไม่ถือเป็นคำฟ้องซ้ำ หากเหตุละเมิดต่างหากจากคดีก่อน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 คนเดียว กระทำละเมิดเข้าทำนาของโจทก์ในปีการทำนา พ.ศ.2519 คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างพิจารณา แล้วโจทก์ฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกเข้ามาแย่งไถและหว่านข้าวทำนาอันเป็นการละเมิดในปี พ.ศ.2520 ซึ่งเป็นการละเมิดคนละคราวต่างหากจากกัน(ทั้งในชั้นตรวจรับคำฟ้อง ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นการทำละเมิดต่อเนื่องเรื่อยมา อันจะพึงถือว่าเป็นการทำละเมิดคราวเดียวกัน) จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นคำฟ้องเรื่องเดียวกัน ฟ้องโจทก์ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 356/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของครูและมารดาต่อเหตุละเมิดจากการเล่นพลุของเด็กนักเรียน
เช้าวันเกิดเหตุ ครูได้เก็บเอาไม้กระบอกพลุที่เด็กนักเรียนเล่นมาทำลายและห้ามไม่ให้เล่นต่อไปตอนหยุดพักกลางวันนักเรียนคนหนึ่งได้เล่นกระบอกพลุที่นอกห้องเรียนไปโดนนัยน์ตานักเรียนอีกคนหนึ่งบอดพฤติการณ์เช่นนี้ครูได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้วเหตุที่เกิดละเมิดเป็นการนอกเหนืออำนาจและวิสัยที่ครูจะดูแลให้ปลอดภัยได้ครูจึงไม่ต้องรับผิด
มารดาปล่อยให้บุตรเล่นไม้กระบอกพลุที่บ้านและนำไปเล่นที่โรงเรียนจนบุตรมีความชำนาญทำไม้กระบอกพลุให้คนอื่นเล่นได้แสดงว่ามารดาปล่อยปละละเลยไม่ได้ดูแลหรือห้ามปราม แม้เหตุจะเกิดขึ้นที่โรงเรียนลับหลังมารดาก็ตาม ก็หาทำให้มารดาพ้นความรับผิดไม่
มารดาปล่อยให้บุตรเล่นไม้กระบอกพลุที่บ้านและนำไปเล่นที่โรงเรียนจนบุตรมีความชำนาญทำไม้กระบอกพลุให้คนอื่นเล่นได้แสดงว่ามารดาปล่อยปละละเลยไม่ได้ดูแลหรือห้ามปราม แม้เหตุจะเกิดขึ้นที่โรงเรียนลับหลังมารดาก็ตาม ก็หาทำให้มารดาพ้นความรับผิดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1743/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องละเมิดไม่ชัดเจน: คำฟ้องต้องระบุเหตุละเมิดที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายโดยตรง จึงจะชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างของบุตรโจทก์ แต่ในฟ้องบรรยายเพียงว่า จำเลยใช้ให้บุตรโจทก์ลงไปขุดทรายในบ่อแล้วดินพังลงมาทับตายเช่นนี้ ตามคำฟ้องย่อมไม่มีเหตุที่เป็นข้ออ้างว่าจำเลยได้ทำละเมิดแก่บุตรโจทก์อันจะพึงบังคับให้จำเลยต้องรับชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1743/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องละเมิดไม่ชัดเจน: คำฟ้องต้องระบุเหตุละเมิดที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหาย
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างของบุตรโจทก์ แต่ในฟ้องบรรยายเพียงว่า จำเลยใช้ให้บุตรโจทก์ลงไปขุดทรายในบ่อแล้วดินพังลงมาทับตายเช่นนี้ ตามคำฟ้องย่อมไม่มีเหตุที่เป็นข้ออ้าง ว่าจำเลยได้ทำละเมิดแก่บุตรโจทก์อันจะพึงบังคับให้จำเลยต้องรับชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1743/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องละเมิดต้องระบุเหตุแห่งการกระทำละเมิดที่ชัดเจน หากบรรยายเพียงผลที่เกิดขึ้น ฟ้องไม่สมบูรณ์
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างของบุตรโจทก์. แต่ในฟ้องบรรยายเพียงว่า จำเลยใช้ให้บุตรโจทก์ลงไปขุดทรายในบ่อแล้วดินพังลงมาทับตายเช่นนี้. ตามคำฟ้องย่อมไม่มีเหตุที่เป็นข้ออ้าง.ว่าจำเลยได้ทำละเมิดแก่บุตรโจทก์อันจะพึงบังคับให้จำเลยต้องรับชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์. ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172.