พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2647/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธฟ้องต้องระบุเหตุ หากไม่ระบุ ถือเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงที่ถูกฟ้อง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง เป็นบทบังคับว่าจำเลยจะยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างตามฟ้องของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนก็ได้ แต่จำเลยจะต้องให้เหตุแห่งการยอมรับหรือปฏิเสธนั้น โดยเฉพาะการปฏิเสธฟ้องของโจทก์ไม่ว่าปฏิเสธทั้งสิ้นหรือบางส่วนจำเลยจำเป็นจะต้องให้เหตุแห่งการปฏิเสธไว้ เท่ากับจำเลยจะต้องกล่าวอ้างข้อเท็จจริงไว้ในคำให้การเพื่อตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาทมิฉะนั้นจำเลยจะไม่มีประเด็นอะไรให้นำสืบตามหน้าที่ของจำเลยได้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็คโดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้สลักหลัง มอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระโจทก์นำไปขึ้นเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดตามเช็ค จำเลยทั้งสองให้การว่าเช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ เช็คตกไปอยู่ในครอบครองของโจทก์โดยไม่สุจริต โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองโดยใช้สิทธิไม่สุจริตและโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย คำให้การของจำเลยทั้งสองปฏิเสธข้ออ้างตามฟ้องของโจทก์แต่เพียงในสิ่งที่ไม่ใช่สาระสำคัญว่าเช็คตามฟ้องไม่มีมูลหนี้ ตกไปอยู่ในครอบครองของโจทก์โดยไม่สุจริต และโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองโดยไม่สุจริต แม้จำเลยจะให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้ให้เหตุแห่งการปฏิเสธไว้อีกทั้งจำเลยทั้งสองก็ไม่ได้ให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1ไม่ได้ออกเช็ค จำเลยที่ 2 ไม่ได้สลักหลังเช็คและธนาคารผู้จ่ายไม่ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คหรือไม่ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฏิเสธในข้อเหล่านี้ต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็คจำเลยที่ 2 สลักหลังเช็ค เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังนี้แล้ว จึงไม่จำต้องให้คู่ความนำสืบข้อเท็จจริงอื่นใดที่ไม่จำเป็นแก่คดีอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2647/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธฟ้องต้องระบุเหตุ หากไม่ระบุ ถือเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง
การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ไม่ว่าปฏิเสธทั้งสิ้นหรือบางส่วนจำเลยต้องให้เหตุแห่งการปฏิเสธไว้ เท่ากับจำเลยจะต้องกล่าวอ้างข้อเท็จจริงไว้ในคำให้การเพื่อตั้งเป็นประเด็นข้อพิพาท มิฉะนั้นจำเลยจะไม่มีประเด็นอะไรให้นำสืบตามหน้าที่ของจำเลยได้ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 จำเลยให้การปฏิเสธว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายแต่ไม่ได้ให้เหตุแห่งการปฏิเสธไว้ อีกทั้งไม่ได้ให้การปฏิเสธฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ออกเช็ค จำเลยที่ 2 ไม่ได้สลักหลังเช็ค และธนาคารผู้จ่ายไม่ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็ค จำเลยที่ 2 สลักหลังเช็คเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังนี้แล้ว ไม่จำต้องให้คู่ความนำสืบข้อเท็จจริงอื่นใดที่ไม่จำเป็นแก่คดีอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 274/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้คดีและสิทธิในการสืบพยานจำเลยต้องอ้างเหตุแห่งการปฏิเสธ หากไม่ทำสิทธิสืบพยานเป็นอันตกไป
คำให้การจำเลยที่ปฏิเสธเพียงว่า บ.ไม่ได้กู้เงินโจทก์หนังสือสัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้องไม่ถูกต้องและไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โดยไม่ได้อ้างเหตุตั้งประเด็นไว้ว่า เหตุใด บ.จึงไม่ได้กู้เงินโจทก์ และหนังสือสัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้องไม่ถูกต้องและไม่สมบูรณ์อย่างไร จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยไม่มีสิทธิสืบพยานตามข้อต่อสู้
หนังสือสัญญากู้ยืมเงินไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ในขณะทำสัญญาแต่ต่อมาได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแล้ว จะโดยผู้อ้างปิดอากรแสตมป์เองหรือผู้อ้างขอให้ศาลสั่งให้เจ้าหน้าที่สรรพากรจัดการให้ ก็มีผลเช่นเดียวกัน ศาลรับฟังหนังสือสัญญากู้ยืมเงินนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีได้
หนังสือสัญญากู้ยืมเงินไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ในขณะทำสัญญาแต่ต่อมาได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแล้ว จะโดยผู้อ้างปิดอากรแสตมป์เองหรือผู้อ้างขอให้ศาลสั่งให้เจ้าหน้าที่สรรพากรจัดการให้ ก็มีผลเช่นเดียวกัน ศาลรับฟังหนังสือสัญญากู้ยืมเงินนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 67/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาต้องระบุเหตุ หากไม่ชัดเจนศาลไม่รับวินิจฉัย แม้เป็นประเด็นความสงบเรียบร้อย
ตาม ป.วิ.พ.มาตรา177วรรคสองนั้นนอกจากจำเลยจะต้องแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่ายอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนแล้วยังจะต้องแสดงโดยชัดแจ้งถึงเหตุแห่งการนั้นด้วย จำเลยให้การเพียงว่าพินัยกรรมที่โจทก์นำมาฟ้องทำไม่ถูกต้องตามกฎหมายจึงเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้โดยมิได้กล่าวว่าไม่ถูกต้องอย่างไรเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้แสดงโดยชัดแจ้งถึงเหตุที่อ้างว่าพินัยกรรมไม่สมบูรณ์ที่จำเลยฎีกาว่าพินัยกรรมเป็นโมฆะเพราะมิได้ทำต่อหน้าพยานสองคนจำเลยมิได้ยกเหตุนี้ขึ้นต่อสู้ในคำให้การแม้จะเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาก็ใช้ดุลพินิจไม่รับวินิจฉัยให้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3283/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้การปฏิเสธฟ้องต้องชัดเจน เหตุแห่งการปฏิเสธต้องแสดงให้เห็นการกระทำที่เป็นเหตุให้ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ คำให้การของจำเลยประกอบคำแถลงของจำเลยในวันชี้สองสถานมีข้อความว่า จำเลยขอปฏิเสธฟ้องโดยสิ้นเชิง เพราะสัญญาที่โจทก์ทำขึ้นเป็นการฉ้อฉล โดยโจทก์ใช้อุบายหลอกลวงให้จำเลยลงชื่อในสัญญากู้ และจำเลยไม่ได้รับเงินจากโจทก์เช่นนี้ การใช้อุบายหลอกลวงของโจทก์ก็มีความหมายเช่นเดียวกับการฉ้อฉลที่จำเลยอ้างว่าโจทก์กระทำขึ้นนั่นเอง ไม่อาจทำให้เข้าใจได้ว่าโจทก์กระทำการอย่างไรบ้าง อันจะแสดงว่าเป็นการฉ้อฉลหรือใช้อุบายหลอกลวงจำเลย และเป็นเหตุให้จำเลยไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้ จึงเป็นคำให้การปฏิเสธที่มิได้แสดงเหตุโดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสองจำเลยจึงไม่มีประเด็นจะนำสืบตามคำให้การ
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ จำเลยย่อมมีภาระการพิสูจน์ว่าเหตุใดจึงจะไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้นั้น แต่เมื่อคำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ คดีก็ไม่จำเป็นต้องทำการสืบพยานโจทก์ต่อไป ศาลย่อมมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ จำเลยย่อมมีภาระการพิสูจน์ว่าเหตุใดจึงจะไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้นั้น แต่เมื่อคำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ คดีก็ไม่จำเป็นต้องทำการสืบพยานโจทก์ต่อไป ศาลย่อมมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4586/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธความรับผิดของผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยร่วม ศาลต้องพิจารณาเหตุแห่งการปฏิเสธอย่างชัดเจน
แม้ตามคำฟ้องของโจทก์จะเป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของบริษัทจำเลยร่วมซึ่งเป็นลูกหนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 233 แต่ปัญหาว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามที่ฟ้องหรือไม่ มิได้พิจารณาแต่เพียงว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ของบริษัทจำเลยร่วมซึ่งเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องที่ตนมีอยู่หรือไม่เท่านั้น แต่ยังมีประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณาว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ของบริษัทจำเลยร่วมหรือไม่ เพียงใด นอกจากนี้ศาลยังต้องพิจารณาให้ได้ความว่า บริษัทจำเลยร่วมขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยจนเป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียประโยชน์หรือไม่อีกด้วย จำเลยให้การว่าจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ในบริษัทจำเลยร่วม และไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยร่วมโดยอ้างเหตุแห่งการปฏิเสธ คำให้การของจำเลยจึงเป็นการปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์โดยชัดแจ้งรวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง แล้ว