คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เอกสารท้ายฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 17 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7269/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตคำฟ้อง: เอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง ศาลไม่ถือว่าพิพากษาเกินเลยหากคำพิพากษาอ้างอิงถึงรายละเอียดในเอกสารดังกล่าว
เอกสารท้ายฟ้องถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุเพียงว่าจำเลยค้างค่าน้ำประปาเป็นเงิน 660 บาท และค่าโทรศัพท์เป็นเงิน 1,100 บาท แต่ในตารางการคำนวณอัตราดอกเบี้ยและทุนทรัพย์เอกสารท้ายฟ้องระบุว่า ค่าน้ำประปารวมถึงค่ารักษามาตร และค่าโทรศัพท์รวมถึงค่ารักษาคู่สายโทรศัพท์ภายใน ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระค่ารักษามาตรวัดน้ำประปาและค่ารักษาคู่สายโทรศัพท์ภายในจึงมิได้เป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7269/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตคำฟ้อง: เอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง ศาลไม่ถือว่าพิพากษาเกินเลย
เอกสารท้ายฟ้องถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุเพียงว่า จำเลยค้างชำระค่าน้ำประปาเป็นเงิน 660 บาท และค่าโทรศัพท์เป็นเงิน 1,100 บาท แต่ในตารางการคำนวณอัตราดอกเบี้ยและทุนทรัพย์เอกสารท้ายฟ้องระบุว่า ค่าน้ำประปารวมถึงค่ารักษามาตร และค่าโทรศัพท์รวมถึงค่ารักษาคู่สายโทรศัพท์ภายใน การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระค่ารักษามาตรวัดน้ำประปา และค่ารักษาคู่สายโทรศัพท์ภายใน จึงมิได้เป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10418/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องกรณีสัญญาประกันภัย: ศาลฎีกาวินิจฉัยปีเกิดเหตุผิดพลาดในคำฟ้องไม่กระทบอำนาจฟ้อง หากเอกสารท้ายฟ้องสอดคล้องกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 9 ษ - 2128 กรุงเทพมหานคร ไว้จากเจ้าของรถยนต์ดังกล่าว โดยมีกำหนดระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2541 ถึงวันที่ 1 กันยายน 2542 ซึ่งเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2540 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก - 7632 สุพรรณบุรี ของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างหรือตามที่ได้รับมอบหมายหรือยินยอมของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยได้รับความเสียหาย ซึ่งหากพิจารณาข้อความที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเหตุละเมิดเกิดก่อนวันที่สัญญาประกันภัยมีผลคุ้มครอง แต่ในการแปลคำฟ้องนั้นมิได้พิจารณาเฉพาะข้อความที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องเท่านั้น ต้องพิจารณาเอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องประกอบด้วยเมื่อพิจารณาเอกสารที่โจทก์แนบมาท้ายฟ้องต่างระบุตรงกันว่าเหตุละเมิดเกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2542 เห็นได้ชัดว่าโจทก์พิมพ์ปีที่เกิดเหตุละเมิดผิดพลาด ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดเล็กน้อยอันเป็นรายละเอียดแห่งคำฟ้อง กรณีถือได้ว่าโจทก์ได้อ้างในคำฟ้องแล้วว่า เหตุละเมิดเกิดในระหว่างอายุสัญญาประกัน ดังนั้น เมื่อโจทก์อ้างว่าโจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไปแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ทำละเมิด และจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างหรือตัวการให้ร่วมรับผิดในมูลละเมิดดังกล่าวได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง แม้โจทก์จะมิได้ขอแก้ไขคำฟ้องในส่วนที่พิมพ์ผิดพลาดดังกล่าวและไม่ว่าจำเลยทั้งสองจะให้การต่อสู้ในเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่มีผลกระทบต่ออำนาจฟ้องของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2654/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องเคลือบคลุม – เนื้อที่ดินไม่สอดคล้อง
เอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง คำฟ้องจะชัดแจ้งหรือไม่จึงต้องพิจารณาคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องทั้งหมดประกอบกัน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามใบจองน.ส.3 และโฉนดที่ดินพิพาทซึ่งมีชื่อจำเลย เมื่อปรากฏตามสำเนาสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ว่า ที่ดินที่โจทก์อ้างว่าซื้อมาจากเจ้าของเดิมนั้น มีเนื้อที่รวมกันทั้งสิ้น 64 ไร่ แต่กลับปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6และ 7 ซึ่งเป็นใบจองและ น.ส.3 ของที่ดินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้ออกหลักฐานรุกล้ำ มีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ และปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 16ซึ่งเป็นโฉนดที่ดินที่จะออกให้แก่จำเลย มีเนื้อที่ 47 ไร่ 3 งาน 28 ตารางวา ดังนี้การที่โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า ที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากเจ้าของเดิมมีเนื้อที่รวมกันทั้งสิ้น64 ไร่ แต่ที่ดินตามใบจองและ น.ส.3 ของจำเลยตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข6 และ 7 กลับมีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ ทั้งที่ดินตามโฉนดที่ดินที่จะออกให้แก่จำเลยมีเนื้อที่ประมาณ 47 ไร่เศษ เท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยจะขอออกใบจองน.ส.3 และโฉนดที่ดินดังกล่าวรุกล้ำที่ดินเจ้าของเดิมที่โจทก์ซื้อมาทั้งแปลงดังคำฟ้องโจทก์ เพราะที่ดินตามใบจอง น.ส.3 และโฉนดที่ดินดังกล่าวมีเนื้อที่น้อยกว่าที่ดินที่โจทก์อ้างว่าซื้อมาจากเจ้าของเดิมถึง 10 ไร่เศษ นอกจากนั้นเมื่อพิจารณาสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 18 ซึ่งเป็นแผนที่ที่ดินพิพาท ก็ไม่สามารถทราบได้ว่าที่ดินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยขอออกใบจอง น.ส.3 และโฉนดที่ดินนั้นเป็นที่ดินตรงบริเวณไหนของแผนที่ดังกล่าวหรือรุกล้ำที่ดินที่โจทก์อ้างว่าซื้อมาจากเจ้าของเดิมตรงส่วนไหนบ้าง คำฟ้องโจทก์ดังกล่าวเป็นการแสดงสภาพแห่งข้อหาข้ดแย้งกันในตัวจึงเป็นคำฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3804/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาพยานหลักฐานในคดีตัวแทน: ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณาเอกสารท้ายฟ้องประกอบคำฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยในฐานะตัวแทนมีหน้าที่ต้องส่งมอบเงินและทรัพย์สินให้โจทก์ในฐานะตัวการ รวมทั้งเงินสดที่จำเลยในฐานะตัวแทนได้รับไว้แทนโจทก์ในฐานะตัวการ 2 รายการคือ ลูกหนี้58,301.35 บาท ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์กล่าวในฟ้องว่ามีเงินสดจำนวนดังกล่าวอยู่ที่จำเลยแล้ว ส่วนอีกรายการคือสินค้าคงเหลือ57,887.95 บาท ปรากฏตามสำเนาหนังสือทวงถามจากทนายโจทก์ให้จำเลยชำระหนี้เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 เมื่อพิจารณาตามฟ้องโจทก์ประกอบกับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องโจทก์ได้ยืนยันว่าจำเลยได้จำหน่ายสินค้าคงเหลือเป็นตัวเงินแล้วดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาเพียงจากสภาพคำฟ้องและพิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าตามฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยชำระเงินสดจำนวน116,189.30 บาท แต่ตามคำฟ้องทั้งสองรายการแปลได้ว่าไม่มีเงินสดอยู่ที่จำเลย ฟ้องโจทก์จึงไม่อาจบังคับกับจำเลยได้นั้น ถือว่าศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยการพิจารณาศาลอุทธรณ์ชอบที่จะพิจารณาพยานหลักฐานตามที่คู่ความนำสืบโต้แย้งก่อนแล้วจึงวินิจฉัย กรณีมีเหตุสมควรที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและมีคำพิพากษาใหม่ ตามมาตรา 247 ประกอบด้วยมาตรา 243(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1946/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบพยานหลักฐานไม่ตรงกับเอกสารท้ายฟ้อง และการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการส่งเอกสาร ทำให้ศาลไม่รับฟังการมอบอำนาจ
โจทก์มอบอำนาจให้ อ.ฟ้องคดีแทนโดยแนบภาพถ่ายหนังสือมอบ-อำนาจมาท้ายฟ้อง แต่กลับนำสืบว่าภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องมิใช่ภาพถ่าย-หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ เป็นภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีอื่น ส่วนภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้โจทก์ได้แนบไปท้ายฟ้องคดีอื่นสลับกัน โดยโจทก์นำสืบต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจทั้งสองฉบับประกอบคำเบิกความของ อ.ว่า โจทก์มอบอำนาจให้ อ.ฟ้องคดีนี้จริง เช่นนี้ ภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องและต้นฉบับย่อมมิใช่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ ส่วนต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ก็มิได้มีการส่งสำเนาล่วงหน้าตาม ป.วิ.พ. มาตรา 90 จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ตามมาตรา 86 โจทก์จึงไม่มีพยานเอกสารมาแสดงให้เห็นถึงการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ทั้งคำเบิกความของ อ.ก็เป็นพยานบุคคลจะรับฟังแทนเอกสารมิได้ ต้องห้ามตามมาตรา94 (ก) ประกอบมาตรา 60 วรรคสอง ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้อ.ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3922/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพิพากษาถึงที่สุดผูกพันคู่ความ แม้มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของทรัพย์สิน และเอกสารท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง
คดีก่อนผู้เยาว์ทั้งสี่และมารดาร่วมกันฟ้องจำเลยกับ ส.ให้โอนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ จ. บิดาผู้เยาว์ให้กับผู้เยาว์ทั้งสี่ศาลพิพากษาว่าผู้เยาว์ทั้งสี่มีสิทธิในที่ดินพิพาทสี่ในห้าส่วนให้จำเลยและส.โอนให้ผู้เยาว์ทั้งสี่คดีถึงที่สุดได้มีการแก้ไขทางทะเบียนที่ดินพิพาทจาก ส. มาเป็นชื่อผู้เยาว์ทั้งสี่และจำเลยตามคำพิพากษาแล้ว การที่จำเลยต่อสู้ในคดีนี้อีกว่าจำเลยโอนที่ดินพิพาทให้ ส. ไปแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจึงรับฟังไม่ได้ เพราะศาลได้วินิจฉัยประเด็นนี้ไว้ในคดีก่อนแล้วจำเลยจึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีก่อน เอกสารท้ายฟ้องถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง การพิจารณาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ต้องอ่านคำฟ้องและเอกสารท้ายฟ้องประกอบกัน ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ขาดสาระสำคัญบางประการ จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3605/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจฟ้องคดี: ศาลฎีกาให้รับฟังการมอบอำนาจตามเอกสารท้ายฟ้อง แม้ไม่มีอากรแสตมป์ และจำกัดขอบเขตการพิจารณาตามอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าได้มอบอำนาจให้ น. เป็นผู้รับมอบอำนาจและแต่งทนายโจทก์จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าโจทก์มิได้มอบอำนาจดังกล่าวไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย เรื่องการมอบอำนาจ ไม่มีกรณีต้องใช้หนังสือมอบอำนาจเป็นพยานหลักฐานแม้หนังสือมอบอำนาจจะไม่มีการขีดฆ่าอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ คดี จึงต้องฟังว่า น. เป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาเพียงในข้อที่ขอให้ยกคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางเท่านั้น มิได้ยกข้อพิพาทในเนื้อหาของคดีขึ้นมาในอุทธรณ์ และมิได้ขอให้พิพากษาตามคำขอของโจทก์ดังที่ฟ้องมาศาลฎีกาจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจพิจารณาข้อพิพาทในส่วนที่นอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ได้ และกรณีไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4661/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของนิติบุคคล: การแก้ไขเอกสารท้ายฟ้องที่ผิดพลาดไม่กระทบอำนาจฟ้อง
โจทก์แนบเอกสารท้ายฟ้องอันแสดงถึงการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ผิดพลาด โดยแนบสำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคลอื่น การแนบเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวก็เพื่อให้ชัดเจนถึงฐานะของโจทก์ไม่ใช่หลักฐานอันเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี และจำเลยก็ให้การยอมว่าเคยเป็นกรรมการผู้จัดการของโจทก์ เท่ากับเป็นการรับรองว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลแล้ว การที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับการเป็นนิติบุคคลของโจทก์โดยแนบหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ฉบับที่ถูกต้องภายหลังที่โจทก์ได้สืบพยานไปแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจที่จะอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องดังกล่าวได้กรณีไม่ต้องด้วยข้อห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 เมื่อโจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลมาแต่ต้นการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจึงชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2231/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่เคลือบคลุมเมื่อพิจารณารวมเอกสารท้ายฟ้อง สิทธิโจทก์เกิดจากการเช่านาที่กฎหมายคุ้มครอง การทำถนนละเมิดสิทธิ
การที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างเอกสารหมายเลข 3 ซึ่งที่ถูกเป็นเอกสารหมายเลข 2 นั้น ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยถึงเอกสารฉบับที่ถูกต้องได้และเมื่อได้ความตามคำฟ้องว่าสิทธิของโจทก์ในที่ดินตามฟ้องเกิดจากการเช่านาซึ่งมีกฎหมายว่าด้วยการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมคุ้มครอง จำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยเข้าไปทำถนนในที่ดินซึ่งโจทก์เช่า ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายทำนาตามปกติไม่ได้ คำฟ้องนั้นจึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว
เอกสารท้ายคำฟ้องทุกฉบับย่อมเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง และการวินิจฉัยว่าคำฟ้องใดเคลือบคลุมหรือไม่ ต้องพิจารณาคำฟ้องรวมกันทั้งฉบับ
of 2