พบผลลัพธ์ทั้งหมด 8 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8188/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานจัดและเป็นเจ้ามือการพนันสลากกินรวบเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลฎีกาแก้ไขบทกฎหมายเพื่อความถูกต้อง
ความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินรวบและฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้การพนันสลากกินรวบ ต่างเป็นความผิดอยู่ในตัวเองไม่เกี่ยวข้องกัน อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลต้องพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างอิง ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยโดยปรับบทกฎหมายเสียให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่เนื่องจากโจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยเป็นความผิดรวม 12 กระทง ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขในเรื่องโทษได้เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขบทกฎหมายโดยศาลอุทธรณ์โดยไม่เปลี่ยนโทษ ทำให้จำเลยต้องห้ามฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335,83 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335,83 ประกอบด้วยมาตรา 336 ทวิ ส่วนโทษคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการแก้ไขเฉพาะบทกฎหมายมิได้แก้ไขโทษ จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ดังนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การแก้ไขบทกฎหมายโดยศาลอุทธรณ์ และการฎีกาที่ไม่ชัดเจน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 266 จำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ส่วนกำหนดโทษคงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขเฉพาะการปรับบทกฎหมายในการลงโทษโดยมิได้แก้ไขโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยลงลายมือชื่อแทน ด. โดยได้รับมอบหมายด้วยวาจา การกระทำของจำเลยไม่ทำให้ ด. เสียหายหรือในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน จำเลยไม่มีเจตนาปลอมเอกสาร และหากฟังว่าจำเลยกระทำผิด ก็ขอให้รอการลงโทษ ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชัดเจนเคลือบคลุม ทำให้จำเลยหลงต่อสู้คดี แต่จำเลยมิได้ยกเหตุผลขึ้นอ้างอิง ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมตอนใด เหตุใดจึงทำให้จำเลยหลงต่อสู้ เป็นฎีกาที่ไม่ชัดเจน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วย มาตรา225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชัดเจนเคลือบคลุม ทำให้จำเลยหลงต่อสู้คดี แต่จำเลยมิได้ยกเหตุผลขึ้นอ้างอิง ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมตอนใด เหตุใดจึงทำให้จำเลยหลงต่อสู้ เป็นฎีกาที่ไม่ชัดเจน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วย มาตรา225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม – แก้ไขบทกฎหมาย – ปัญหาข้อเท็จจริง – ฟ้องไม่ชัดเจน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 266 จำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ส่วนกำหนดโทษคงเป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขเฉพาะการปรับ บทกฎหมายในการลงโทษโดยมิได้แก้ไขโทษ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่จำเลย ฎีกาว่า จำเลยลงลายมือชื่อแทน ด. โดยได้รับมอบหมายด้วยวาจาการกระทำของจำเลยไม่ทำให้ ด. เสียหายหรือในประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนจำเลยไม่มีเจตนาปลอมเอกสาร และหากฟังว่าจำเลยกระทำผิด ก็ขอให้รอการลงโทษล้วนเป็นฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชัดเจนเคลือบคลุม ทำให้จำเลยหลงต่อสู้คดีแต่จำเลยมิได้ยกเหตุผลขึ้นอ้างอิงว่าฟ้องโจทก์ เคลือบคลุมตอนใดเหตุใดจึงทำให้จำเลยหลงต่อสู้เป็นฎีกาที่ไม่ชัดเจน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วย มาตรา225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 120/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขบทกฎหมายลงโทษโดยศาลอุทธรณ์และการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า.จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และมาตรา 200 ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 200และมาตรา 201 ให้ลงโทษตามมาตรา 149 ซึ่งเป็นบทหนักส่วนโทษที่ลงแก่จำเลยนั้นให้เป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดดังนี้เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขเฉพาะการปรับบทกฎหมายในการลงโทษให้ถูกต้อง โดยมิได้แก้ไขโทษแต่อย่างใด จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 138/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความและความผิดต่อเนื่องในคดีไม้แปรรูปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นใช้ผิด
ความผิดฐานมีไม้แปรรูปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไว้ในความครอบครองนั้น เป็นความผิดต่อเนื่องกันตลอดมาตั้งแต่วันมีไว้ในครอบครองจนถึงวันที่เจ้าพนักงานจับกุมจำเลย
เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยภายหลังวันที่ใช้พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 แล้ว และโจทก์ก็ได้ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 ด้วย การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 มาตรา 73 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 ซึ่งเป็นการยกบทกฎหมายมาปรับแก่คดีผิดพลาดไปนั้น ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขเสียให้ถูกได้
เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยภายหลังวันที่ใช้พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 แล้ว และโจทก์ก็ได้ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 ด้วย การที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 มาตรา 73 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 ซึ่งเป็นการยกบทกฎหมายมาปรับแก่คดีผิดพลาดไปนั้น ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขเสียให้ถูกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10766/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขบทกฎหมายและอำนาจศาลในการลงโทษตามกฎหมายที่แก้ไข การรับสารภาพและเหตุบรรเทาโทษ
พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ทางหลวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2549 ซึ่งมาตรา 61 เดิมและที่แก้ไขใหม่ยังเป็นบทความผิดเช่นเดียวกัน ส่วนบทกำหนดโทษมาตรา 73 (เดิม) ได้แก้ไขและมีบทบัญญัติเพิ่มเติมเป็นมาตรา 73/2 ซึ่งมีโทษหนักกว่าโทษตามมาตรา 73 (เดิม) การที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 61 และมาตรา 73 โดยมิได้ขอมาตรา 73/2 (ที่แก้ไขใหม่) มาด้วย เป็นเพียงการอ้างบทบัญญัติกฎหมายผิดพลาดไป ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคห้า ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 ไม่เกินคำขอ
คดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องมิใช่คดีที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และข้อเท็จจริงย่อมรับฟังยุติได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าโจทก์มีพยานหลักฐานเป็นอย่างไรและจำเลยจำนนต่อพยานหลักฐานเช่นว่านั้นหรือไม่ คำรับสารภาพของจำเลยจึงเป็นเหตุบรรเทาโทษได้ตาม ป.อ. มาตรา 78
คดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องมิใช่คดีที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และข้อเท็จจริงย่อมรับฟังยุติได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าโจทก์มีพยานหลักฐานเป็นอย่างไรและจำเลยจำนนต่อพยานหลักฐานเช่นว่านั้นหรือไม่ คำรับสารภาพของจำเลยจึงเป็นเหตุบรรเทาโทษได้ตาม ป.อ. มาตรา 78
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6673/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการตรวจค้นยาเสพติด: การรับฟังพยานหลักฐาน, คำรับสารภาพ, และการแก้ไขบทกฎหมายโทษ
ตามบันทึกการจับกุม จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจาก ห. ชาวเขาเผ่าลีซอ โดยไปซื้อที่บริเวณหมู่บ้านทับเดื่อก่อนที่จะเข้ามาพักที่โรงแรมในราคาถุงละ 8,700 บาท ในการไปซื้อและรับเมทแอมเฟตามีนครั้งนี้มีจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นเจ้าของเงินทุนที่ใช้ซื้อเมทแอมเฟตามีน และจำเลยที่ 2 ทำหน้าที่ขับรถยนต์ แม้ ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคท้าย ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 บัญญัติมิให้นำคำรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นพยานหลักฐานก็ตาม แต่ข้อความดังกล่าวเป็นข้อความอื่นซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งกฎหมายมิได้ห้ามนำมารับฟังเสียทีเดียว ที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่า เหตุที่ลงชื่อในบันทึกการจับกุม เนื่องจากเจ้าพนักงานบอกให้จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อไว้ โดยไม่ได้ให้จำเลยที่ 1 อ่าน และจำเลยที่ 2 เบิกความว่าเจ้าพนักงานตำรวจนำเอกสารมาให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อ เนื่องจากจำเลยที่ 2 ถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายร่างกาย จึงเกิดความกลัว และลงชื่อในเอกสารดังกล่าว โดยเจ้าพนักงานตำรวจมิได้ให้จำเลยที่ 2 อ่าน มิฉะนั้นแล้วคงไม่ต้องทำบันทึกการจับกุมก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่ง่ายต่อการกล่าวอ้าง ทั้งจำเลยที่ 1 และที่ 2 กล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยโดยมิได้ถามค้านพยานโจทก์ทั้งสองผู้ร่วมจับกุมในข้อหานี้ไว้ด้วย การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 มานำสืบในภายหลังเช่นนี้ย่อมไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ เชื่อว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การชั้นจับกุมเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยความสมัครใจ จึงนำไปรับฟังประกอบคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองได้ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบจึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย