พบผลลัพธ์ทั้งหมด 22 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6079/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขาดนัดพิจารณาคดี, การแจ้งความประสงค์ให้พิจารณาต่อไป, คำร้องขอเลื่อนคดี, ดุลพินิจศาล, การจำหน่ายคดี
กรณีที่โจทก์ขาดนัดพิจารณาตามมาตรา 201 วรรคหนึ่ง เดิม จำเลยที่ 2แถลงในวันสืบพยานแต่เพียงว่า "การดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วแต่ศาลจะพิจารณาสั่ง" เพียงเท่านี้ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้แจ้งต่อศาลแล้วว่าตนตั้งใจจะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ศาลไม่มีหน้าที่ที่จะต้องสอบถามจำเลยที่ 2 เสียก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย
การที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีในวันสืบพยานด้วยนั้นไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับว่า หากมีกรณีดังกล่าว ศาลจะต้องสอบคำร้องขอเลื่อนคดีของอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อนจึงจะมีคำสั่งขาดนัดพิจารณาได้ ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 เท่ากับเป็นการแปลความเพิ่มหลักเกณฑ์ลงไปในมาตรา 197 วรรคสอง เดิม ซึ่งไม่ถูกต้อง การที่ศาลชั้นต้นจะสอบคำขอเลื่อนคดีของอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ เป็นดุลพินิจหากศาลใช้ดุลพินิจสอบคำขอเลื่อนคดีแล้วมีคำสั่งให้เลื่อนคดี วันนัดดังกล่าวก็มิใช่วันสืบพยานตามกฎหมายอีกต่อไป แต่สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ไปแล้วตามมาตรา 197 วรรคสอง เดิม ประกอบกับมาตรา 201 วรรคหนึ่ง เดิมคำขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 1 ย่อมตกไป
การที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีในวันสืบพยานด้วยนั้นไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับว่า หากมีกรณีดังกล่าว ศาลจะต้องสอบคำร้องขอเลื่อนคดีของอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อนจึงจะมีคำสั่งขาดนัดพิจารณาได้ ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 เท่ากับเป็นการแปลความเพิ่มหลักเกณฑ์ลงไปในมาตรา 197 วรรคสอง เดิม ซึ่งไม่ถูกต้อง การที่ศาลชั้นต้นจะสอบคำขอเลื่อนคดีของอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ เป็นดุลพินิจหากศาลใช้ดุลพินิจสอบคำขอเลื่อนคดีแล้วมีคำสั่งให้เลื่อนคดี วันนัดดังกล่าวก็มิใช่วันสืบพยานตามกฎหมายอีกต่อไป แต่สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ไปแล้วตามมาตรา 197 วรรคสอง เดิม ประกอบกับมาตรา 201 วรรคหนึ่ง เดิมคำขอเลื่อนคดีของจำเลยที่ 1 ย่อมตกไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีเนื่องจากคู่ความไม่มาศาล และหน้าที่จำเลยในการแจ้งความประสงค์ให้พิจารณาต่อไป
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยที่ 1 มาศาล ส่วนผู้รับมอบอำนาจโจทก์ ทนายโจทก์ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล และตาม ป.วิ.พ.มาตรา 201 วรรคหนึ่ง ไม่ได้บังคับให้ศาลต้องสอบถามจำเลยที่มาศาลก่อน แต่เป็นเรื่องที่จำเลยที่มาศาลต้องแจ้งต่อศาลในวันหรือก่อนวันสืบพยานว่าตนตั้งใจจะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้แจ้งต่อศาลชั้นต้นในวันหรือก่อนวันสืบพยานโจทก์ว่าตนตั้งใจจะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ หาเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบอันจะต้องเพิกถอนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีเนื่องจากโจทก์ขาดนัด – จำเลยต้องแจ้งความประสงค์ให้ดำเนินคดีต่อ
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยที่ 1 มาศาล ส่วนผู้รับมอบอำนาจโจทก์ทนายโจทก์ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 วรรคหนึ่ง ไม่ได้บังคับให้ศาลต้องสอบถามจำเลยที่มาศาลก่อน แต่เป็นเรื่องที่จำเลยที่มาศาลต้องแจ้งต่อศาลในวันหรือก่อนวันสืบพยานว่าตนตั้งใจจะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปเมื่อจำเลยที่ 1 มิได้แจ้งต่อศาลชั้นต้นในวันหรือก่อนวันสืบพยานโจทก์ว่าตนตั้งใจจะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ หาเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบอันจะต้องเพิกถอนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7381/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างต้องเป็นการกระทำของนายจ้างโดยตรง การแจ้งความประสงค์โดยผู้ไม่มีอำนาจไม่ถือเป็นการเลิกจ้าง
ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลและผู้บังคับบัญชาของโจทก์แจ้งให้โจทก์ทราบว่านายจ้างเลิกจ้าง กับนำหนังสือแจ้งการเลิกจ้างเอกสารหมาย ล. 2 มาให้โจทก์ดู ซึ่งจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้มีคำสั่งเลิกจ้างลงมาด้วยตนเอง และจำเลยที่ 2 สั่งการในหนังสือเอกสารหมาย ล. 2 ว่า ยังไม่สมควรเลิกจ้าง แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลมิได้แจ้งคำสั่งดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ทราบ หนังสือเอกสารหมาย ล. 2 เป็นหนังสือที่ ว. มีถึง พ. เพื่อขอเลิกจ้างโจทก์ และ พ. บันทึกความเห็นว่า สมควรเลิกจ้างโจทก์เสนอต่อจำเลยที่ 2 มิใช่หนังสือที่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายจ้างแจ้งไม่ให้โจทก์ทำงานต่อไป จึงมิใช่หนังสือเลิกจ้าง ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ย่อมเป็นที่เข้าใจแก่คนทั่วไปว่า จำเลยทั้งสองผู้เป็นนายจ้างมีความประสงค์ที่จะเลิกจ้างโจทก์นั้น ก็ขัดกับข้อความที่จำเลยที่ 2 บันทึกไว้ในเอกสารหมาย ล. 2 ว่า ไม่ควรเลิกจ้าง ให้เรียกมาตกลงกันใหม่โดยทำหนังสือเป็นข้อตกลง ส่วนการที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลและผู้บังคับบัญชาของโจทก์นำหนังสือเอกสารหมาย ล. 2 แจ้งให้โจทก์ทราบว่า จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์นั้นก็ไม่มีผลเป็นการเลิกจ้างเนื่องจากบุคคลดังกล่าวไม่มีอำนาจเลิกจ้างและหนังสือเอกสารหมาย ล. 2 ก็มิใช่หนังสือเลิกจ้าง ทั้งข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาก็ไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่า จำเลยที่ 2 เชิดเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือ พ. ให้เป็นตัวแทนและมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้เลิกจ้างโจทก์ จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2518/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยแจ้งความประสงค์เรียกค่าไถ่รถยนต์ที่ถูกลักยืม ไม่ได้มีส่วนได้ประโยชน์ จึงไม่มีความผิดฐานรับของโจร
พี่ชายจำเลยที่ 1 ลักรถยนต์ไปจากการครอบครองของผู้เสียหายที่ 2 ผู้เสียหายที่ 2 ได้บอกให้จำเลยที่ 1ช่วยติดตามรถยนต์คืนจำเลยทั้งสองได้พบ พ.และพ.ต้องการเงิน 30,000 บาท เป็นค่าไถ่รถยนต์คืนจำเลยทั้งสองจึงได้บอกให้ผู้เสียหายที่ 2 ทราบและให้โอนเงินไปให้จำเลยที่ 1ที่ธนาคาร จำเลยทั้งสองไปรับเงินที่ธนาคารและถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับ ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมีส่วนจะได้รับประโยชน์จากเงินค่าไถ่รถยนต์ เพียงแต่จำเลยทั้งสองแจ้งความประสงค์ของ พ. ให้ผู้เสียหายที่ 2 ทราบ การจะตัดสินใจอย่างไรเป็นเรื่องของผู้เสียหายที่ 2 จำเลยทั้งสองได้จัดการสืบหารถยนต์ตามความประสงค์ของผู้เสียหายที่ 2และเมื่อผู้ที่ลักรถยนต์ไปต้องการค่าไถ่ จำเลยทั้งสองได้แจ้งให้ผู้เสียหายที่ 2 ทราบ และได้มีการโอนเงินเพื่อเสียค่าใช้จ่ายผ่านจำเลยที่ 1 โดยจำเลยทั้งสองมิได้รับประโยชน์ด้วย จำเลยทั้งสองย่อมไม่มีความผิดฐานรับของโจร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2518/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความประสงค์ของผู้อื่นเพื่อไถ่รถยนต์ที่ถูกลักไป ไม่ถือเป็นความผิดฐานรับของโจร
พี่ชายจำเลยที่1ลักรถยนต์ไปจากการครอบครองของผู้เสียหายที่2ผู้เสียหายที่2ได้บอกให้จำเลยที่1ช่วยติดตามรถยนต์คืนจำเลยทั้งสองได้พบพ. และพ.ต้องการเงิน30,000บาทเป็นค่าไถ่รถยนต์คืนจำเลยทั้งสองจึงได้บอกให้ผู้เสียหายที่2ทราบและให้โอนเงินไปให้จำเลยที่1ที่ธนาคารจำเลยทั้งสองไปรับเงินที่ธนาคารและถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมีส่วนจะได้รับประโยชน์จากเงินค่าไถ่รถยนต์เพียงแต่จำเลยทั้งสองแจ้งความประสงค์ของพ. ให้ผู้เสียหายที่2ทราบการจะตัดสินใจอย่างไรเป็นเรื่องของผู้เสียหายที่2จำเลยทั้งสองได้จัดการสืบหารถยนต์ตามความประสงค์ของผู้เสียหายที่2และเมื่อผู้ที่ลักรถยนต์ไปต้องการค่าไถ่จำเลยทั้งสองได้แจ้งให้ผู้เสียหายที่2ทราบและได้มีการโอนเงินเพื่อเสียค่าใช้จ่ายผ่านจำเลยที่1โดยจำเลยทั้งสองมิได้รับประโยชน์ด้วยจำเลยทั้งสองย่อมไม่มีความผิดฐานรับของโจร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2518/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความประสงค์เรียกค่าไถ่รถยนต์ที่ถูกลักยืม ไม่เข้าข่ายความผิดฐานรับของโจร
พี่ชายจำเลยที่1ลักรถยนต์ไปจากการครอบครองของผู้เสียหายที่2ผู้เสียหายที่2ได้บอกให้จำเลยที่1ช่วยติดตามรถยนต์คืนจำเลยทั้งสองได้พบพ. และพ.ต้องการเงิน30,000บาทเป็นค่าไถ่รถยนต์คืนจำเลยทั้งสองจึงได้บอกให้ผู้เสียหายที่2ทราบและให้โอนเงินไปให้จำเลยที่1ที่ธนาคารจำเลยทั้งสองไปรับเงินที่ธนาคารและถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมีส่วนจะได้รับประโยชน์จากเงินค่าไถ่รถยนต์เพียงแต่จำเลยทั้งสองแจ้งความประสงค์ของพ. ให้ผู้เสียหายที่2ทราบการจะตัดสินใจอย่างไรเป็นเรื่องของผู้เสียหายที่2จำเลยทั้งสองได้จัดการสืบหารถยนต์ตามความประสงค์ของผู้เสียหายที่2และเมื่อผู้ที่ลักรถยนต์ไปต้องการค่าไถ่จำเลยทั้งสองได้แจ้งให้ผู้เสียหายที่2ทราบและได้มีการโอนเงินเพื่อเสียค่าใช้จ่ายผ่านจำเลยที่1โดยจำเลยทั้งสองมิได้รับประโยชน์ด้วยจำเลยทั้งสองย่อมไม่มีความผิดฐานรับของโจร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขอคืนภาษีอากรต้องแจ้งความประสงค์ก่อนส่งมอบของ และการประเมินราคาภาษีรวมค่าขนส่ง
ราคาของที่นำมาเป็นฐานในการคำนวณภาษีอากรนั้นต้องคิดจากราคาสินค้ารวมกับค่าประกันภัยและค่าระวาง เรียกว่า ราคาซี.ไอ.เอฟ. ที่โจทก์อ้างว่าโต้แย้งเฉพาะค่าขนส่งก็ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับราคาของ เมื่อโจทก์มิได้แจ้งไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบของ ว่าจะยื่นคำเรียกร้องขอคืนเงินอากรที่เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องขอคืนอากรขาเข้ารวมถึงค่าธรรมเนียมพิเศษที่ให้นำกฎหมายว่าด้วยศุลกากรมาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วย ส่วนภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลโจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมินโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนภาษีอากรในส่วนนี้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4074/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาให้สิทธิเก็บกินเป็นโมฆะ หากไม่แจ้งความประสงค์ภายในกำหนดเวลา ผู้รับโอนสิทธิไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
จำเลยทำสัญญาให้บริษัท ซ. จำกัดมีสิทธิเก็บกิน(การทำเหมืองแร่) ในที่ดินของจำเลยเป็นเวลา 30 ปี โดยคู่สัญญาตกลงกันว่า หากบริษัทต้องการสิทธิเก็บกินจะต้องแจ้งให้จำเลยทราบภายในเวลาที่กำหนด ดังนั้นเมื่อบริษัทไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา แต่กลับปล่อยให้เวลาล่วงเลยเป็นเวลาเกือบ20 ปี ถือได้ว่าสัญญาให้สิทธิเก็บกินของบริษัทอันจะพึงมีต่อจำเลยนั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไป แม้โจทก์จะเป็นผู้รับช่วงสิทธิตามสัญญาดังกล่าว ก็ไม่อาจอ้างสิทธิเก็บกินเอาแก่จำเลยได้ เพราะผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1217/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการนัดหยุดงานของสมาชิกสหภาพแรงงาน แม้จะแจ้งความประสงค์จะทำงานต่อ นายจ้างเลิกจ้างไม่ได้
การนัดหยุดงานที่กระทำโดยสหภาพแรงงานซึ่งแจ้งข้อเรียกร้องต่อนายจ้าง ถือว่าเป็นการกระทำแทนลูกจ้างทุกคนที่เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานดังกล่าว และเมื่อได้มีการแจ้งนัดหยุดงานโดยชอบแล้วสมาชิกของสหภาพแรงงานนั้นทุกคนก็มีสิทธิที่จะนัดหยุดงานได้ ซึ่งสิทธิดังกล่าวเกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518อันเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ลูกจ้างบางคนจะได้ทำหนังสือว่ามีความประสงค์จะเข้าทำงานตามปกติก็หาทำให้สิทธิที่จะหยุดงานที่มีอยู่ตามกฎหมายระงับไปไม่ การที่ลูกจ้างดังกล่าวไม่มาทำงานในระหว่างที่ยังอยู่ในช่วงระยะเวลานัดหยุดงานโดยชอบจะถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรมิได้