คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
แบ่งทรัพย์สินรวม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1538/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินรวมที่ดิน: หากแบ่งตามความยาวแล้วเกิดความเสียหายมาก ศาลมีอำนาจสั่งประมูลหรือขายทอดตลาดเพื่อแบ่งเงิน
การแบ่งที่ดินกรรมสิทธิ์รวม ถ้าแบ่งตามคำขอของโจทก์ทั้งสองแล้ว ที่ดินที่แบ่งออกแต่ละแปลงจะมีความกว้างไม่ถึง 10 เมตร และจะเกิดความเสียหายแก่จำเลยมากถึงขนาดต้องรื้อบ้านของจำเลย เมื่อโจทก์ทั้งสองและจำเลยยังมิได้แบ่งแยกที่ดินพิพาทออกครอบครองเป็นส่วนสัดจึงไม่ชอบที่จะแบ่งแยกที่ดินพิพาทตามความยาวของรูปที่ดินดังที่โจทก์ทั้งสองขอ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อโจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินพิพาท และต่างฝ่ายต่างโต้เถียงกันเกี่ยวกับวิธีการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม แสดงว่าในระหว่างโจทก์ทั้งสองและจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของไม่สามารถตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์สินอย่างไรกรณีจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364ศาลฎีกาให้นำที่ดินพิพาทประมูลราคาระหว่างกัน หากประมูลไม่ได้ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินที่ขายได้แบ่งให้แก่โจทก์ทั้งสองและจำเลยตามส่วน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินรวมโดยการตกลงและสามารถรังวัดแบ่งได้ชัดเจน ถือเป็นการแบ่งที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย
บันทึกข้อตกลงมีรายละเอียดเกี่ยวกับการแบ่งเขตที่พิพาทระหว่างเจ้าของรวมซึ่งสามารถรังวัดแบ่งและกำหนดเขตได้แน่นอน จึงเป็นการสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 วรรคแรก บังคับให้แบ่งกันตามนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1138/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินรวมโดยความยินยอม และผลของการลงชื่อรับรองเขตที่ดิน
เมื่อเจ้าของร่วมต่างพร้อมใจกันสละสิทธิ เรื่องการครอบครองเป็นส่วนสัดซึ่งปกครองมาแต่เดิมเสีย โดยนำเจ้าพนักงานรังวัดแนวเขตระหว่างกันและให้ปักหลักเขตขึ้นใหม่โดยเจตนาแบ่งที่ดินกันตามนั้น แล้วต่างได้ลงชื่อรับรองว่าหลักเขตที่เจ้าพนักงานปักไว้นั้นเป็นหมายเขตที่ดินส่วนของตน ใบรับรองเขตติดต่อของเจ้าของที่ดินดังกล่าวนี้เป็นหลักฐานซึ่งเจ้าของรวมได้ทำไว้เป็นหนังสือยืนยันข้อสัญญาในการแบ่งแยกที่ดิน พฤติการณ์ดังกล่าวนี้จึงเป็นเรื่องที่เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมตกลงแบ่งทรัพย์กันเองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1364 จะกลับมาฟ้องขอให้แบ่งตามส่วนที่ได้ปกครองมาแต่เดิมไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8581/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งทรัพย์สินรวมโดยการโอนที่ดินระหว่างเจ้าของรวม ไม่ถือเป็นการขาย จึงไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
ตามข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่า โจทก์และ ก. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินผืนใหญ่ติดต่อกันซึ่งแบ่งแยกทางทะเบียนออกเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) 64 ฉบับ ตามฟ้อง การที่โจทก์ต้องดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินจำนวน 33 แปลง ให้แก่ ก. และ ก. ดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดิน จำนวน 7 แปลง ให้แก่โจทก์ โดยที่ดินที่ต่างฝ่ายต่างจดทะเบียนโอนให้ซึ่งกันและกันนั้นเดิมเป็นกรรมสิทธิ์รวมของทั้งสองฝ่าย แต่ได้เปลี่ยนสภาพการถือกรรมสิทธิ์รวมมาเป็นกรรมสิทธิ์ของแต่ละฝ่ายตามส่วนของตน อันเข้าลักษณะเป็นการแบ่งทรัพย์สินโดยวิธีตกลงแบ่งทรัพย์สินกันเองระหว่างเจ้าของรวมตามวิธีแรกของมาตรา 1364 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แม้เนื้อที่ที่เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมแต่ละคนได้รับแตกต่างกัน แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ประโยชน์ซึ่งอาจคิดคำนวณเป็นเงินเพิ่มขึ้นจากส่วนที่โจทก์ได้รับส่วนแบ่งมากกว่า ก. กรณีมิใช่การโอนที่เป็นการขายตามความหมายในมาตรา 91/1 (4) แห่งประมวลรัษฎากร แม้การจดทะเบียนโอนดังกล่าวจะจำเป็นต้องทำเป็นสัญญาซื้อขายตามระบบจดทะเบียนก็ตาม ก็ไม่อาจถือเป็นการซื้อขาย เพราะตามเจตนาและข้อเท็จจริงไม่ใช่การตกลงซื้อขาย แต่เป็นเพียงการตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมระหว่างเจ้าของรวมเท่านั้น เมื่อการโอนที่ดินจำนวน 33 แปลง ของโจทก์ให้แก่ ก. ไม่ถือเป็นการขายตามความหมายในมาตรา 91/1 (4) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เพราะกรณีของโจทก์เช่นนี้ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากร การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส่วนปัญหาตามอุทธรณ์ข้อต่อไปของโจทก์และจำเลยมีว่า กรณีมีเหตุงดหรือลดเบี้ยปรับหรือไม่ เห็นว่า เมื่อการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะกรณีโจทก์โอนที่ดินจำนวน 33 แปลง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีเบี้ยปรับที่โจทก์จะต้องเสียสำหรับการประเมินดังกล่าว ปัญหาการงดหรือลดเบี้ยปรับสำหรับการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะนี้จึงตกไป ส่วนการงดหรือลดเบี้ยปรับสำหรับการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะกรณีโจทก์ร่วมกับ ก. ขายที่ดินให้แก่ ด. นั้น ปรากฏว่า สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 8 ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์มาพบและส่งเอกสารหลักฐานมาให้ตรวจสอบรวม 4 ครั้ง โดยก่อนออกหนังสือครั้งที่ 4 โจทก์มาพบ แต่ไม่ให้ถ้อยคำ กรณีจึงถือว่าโจทก์ไม่ได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ แต่เมื่อบทบัญญัติเกี่ยวกับภาษีธุรกิจเฉพาะใช้บังคับก่อนมีการขายที่ดินดังกล่าวไม่ถึง 2 เดือน โจทก์อาจไม่รู้หรือ ไม่เข้าใจระบบการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะซึ่งในระหว่างนั้นมิได้มีการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ณ สำนักงานที่ดินในขณะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมขายอสังหาริมทรัพย์ แต่กำหนดให้เสีย ณ ที่ว่าการอำเภอภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป จึงไม่อาจถือว่าโจทก์มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี ดังนั้น กรณีมีเหตุที่จะลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ ที่ศาลภาษีอากรกลางลดเบี้ยปรับให้ร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมายนั้น จึงเหมาะสมแล้ว ส่วนการที่ ก. ได้รับการงดเบี้ยปรับ แต่โจทก์ได้รับการลดเบี้ยปรับเท่านั้น จะถือว่าไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ไม่ได้ เพราะเมื่อ ก. รู้ว่าต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะก็อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เฉพาะปัญหาเบี้ยปรับเท่านั้น แต่โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ทั้งปัญหาการเสียภาษีและเบี้ยปรับด้วย ก. จึงควรได้รับความปรานีมากกว่าโจทก์ อุทธรณ์ข้อนี้ทั้งของโจทก์และจำเลยฟังไม่ขึ้น