คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
แบ่งรายได้

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2848/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสัมพันธ์แบ่งรายได้ระหว่างคนขับแท็กซี่กับเจ้าของกิจการ ไม่เป็นนายจ้าง-ลูกจ้าง คดีไม่อยู่ในอำนาจศาลแรงงาน
จำเลยเป็นผู้ผูกขาดกิจการรถแท็กซี่ประจำโรงแรมมีบุคคลนำรถเข้ามาร่วมพร้อมทั้งพนักงานขับรถ ถ้าไม่มีพนักงานขับรถจำเลยจะจัดหาให้ พนักงานขับรถจะต้องจ่ายค่าจอดรถให้จำเลย และต้องจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงค่าน้ำมันหล่อลื่น ค่าซ่อมและค่าบำรุงรักษารถคนละครึ่งกับจำเลยพนักงานขับรถมีรายได้จากผู้ใช้บริการรถที่ตนขับซึ่งจำเลยจะเป็นผู้เก็บรวบรวมไว้เมื่อหักค่าใช้จ่ายตามที่ตกลงกันแล้วจำเลยจึงจัดแบ่งให้ทุกต้นเดือนโดยจำเลยมีสิทธิได้รับ 70 เปอร์เซ็นต์ พนักงานขับรถมีสิทธิได้รับ30 เปอร์เซ็นต์ ดังนี้ เงินที่พนักงานขับรถมีสิทธิจะได้รับมิใช่เงินของจำเลยมีลักษณะต่างไปจากค่าจ้างซึ่งเป็นเงินของนายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้าง และความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับพนักงานขับรถก็มิใช่ความสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้าง คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลแรงงาน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 352/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงแบ่งรายได้ตัดผม ไม่เป็นนายจ้าง-ลูกจ้าง ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
โจทก์เป็นช่างตัดผมอยู่ที่ร้านของจำเลย โดยจำเลยเป็นผู้ออกอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ ค่าตัดผมที่โจทก์ตัดจำเลยได้ร้อยละ 40 โจทก์ได้ร้อยละ 60 ไม่มีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ลักษณะเห็นได้ว่าจำเลยไม่มีอำนาจสั่งการเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์ โดยเป็นทำนองจำเลยมีร้านตัดผมและอุปกรณ์แต่ไม่สามารถตัดเองได้ ก็หาประโยชน์โดยเปิดโอกาสให้ช่างตัดผมเข้ามาทำการตัดผมในร้านของจำเลยและแบ่งรายได้ที่ช่างตัดผมได้รับเป็นของจำเลยส่วนหนึ่ง การทำงานของโจทก์เป็นการกระทำให้ได้มาซึ่งค่าจ้างจากลูกค้า ค่าจ้างที่โจทก์ได้รับมิใช่ค่าจ้างที่จำเลยจ่ายให้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ตกลงทำงานให้แก่จำเลยเพื่อรับค่าจ้าง โจทก์จึงมิใช่ลูกจ้างของจำเลยตามความหมายแห่งประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7782/2560

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งค่าเสียหายจากการผิดสัญญาแบ่งรายได้หลังหย่า เกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิมได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาตามบันทึกข้อตกลงการหย่าและการจัดการแบ่งทรัพย์สินตามสัญญา ข้อ 2.3 ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญา ข้อ 2.3 ให้แก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา แต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ยอมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญา ข้อ 2.1 ไม่ส่งมอบทรัพย์สินของบริษัท ท. จำกัด ตามสัญญา ข้อ 2.5 และไม่เข้าทำงานที่คลินิกของจำเลยโดยนัดคนไข้ไปรับการรักษาต่อที่คลินิกของโจทก์ ตามสัญญา ข้อ 5 ซึ่งตามสัญญา ข้อ 5 ระบุว่า โจทก์จะเข้าทำงานด้านทันตกรรม (งานจัดฟัน) ในคลินิกของจำเลยเป็นเวลา 5 ปี นับจากวันทำบันทึกข้อตกลงอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ดังนั้น หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์นัดคนไข้ทันตกรรม (งานจัดฟัน) ของจำเลยไปรับการรักษาต่อที่คลินิกของโจทก์จริง จำนวนคนไข้ที่จะรับการรักษาต่อก็ไม่มีหรือมีน้อยลง ทำให้โจทก์ไม่ต้องมาทำงานหรือทำงานน้อยลงจากที่กำหนดในสัญญา ย่อมทำให้ส่วนแบ่งรายได้ด้านทันตกรรม (งานจัดฟัน) ของจำเลยย่อมลดลง จึงเป็นกรณีที่โจทก์ประสงค์จะให้จำเลยมีรายได้จากส่วนแบ่งตามสัญญา ข้อ 5 น้อยลงหรือไม่ได้เลยหากไม่มีคนไข้ทันตกรรม (งานจัดฟัน) มาใช้บริการต่อที่จำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนนี้จึงมีมูลแห่งคดีเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมว่าฝ่ายใดผิดสัญญาตามบันทึกข้อตกลงการหย่าและจัดการแบ่งทรัพย์สินตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม แม้การกระทำละเมิดมิใช่คดีแพ่งที่ฟ้องเกี่ยวกับครอบครัวก็ตาม แต่มูลความแห่งคดีเรื่องละเมิดเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมและเกี่ยวข้องกับฟ้องแย้งของจำเลยที่อ้างว่าโจทก์ผิดสัญญา ข้อ 5 จำเลยจึงฟ้องแย้งในส่วนละเมิดนี้ได้