คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
โทษเบา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 28 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2177/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ธนบัตรปลอมสำเร็จ แม้ผู้เสียหายยังไม่รับเงินสมบูรณ์ ศาลฎีกาพิจารณาโทษเบาลงได้เพื่อความยุติธรรม
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ฉะนั้น ปัญหาข้อเท็จจริงตามที่จำเลยฎีกาซึ่งยุติไปตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ศาลฎีกาจึงไม่ยกขึ้นวินิจฉัยอีก จำเลยมีธนบัตรรัฐบาลไทยปลอมไว้เพื่อนำออกใช้ และจำเลยได้ นำธนบัตรดังกล่าวไปใช้ซื้อผลไม้จากผู้เสียหาย ถือได้ว่า เป็นความผิดสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244 แล้ว แม้ว่าผู้เสียหายจะยังไม่ทันรับไว้สมบูรณ์ด้วยการทอนเงิน ที่เหลือจากค่าซื้อผลไม้แก่จำเลยก็ตาม ปัญหาว่า ศาลอุทธรณ์วางโทษจำคุกแก่จำเลยหนัก เกินไปหรือไม่แม้เป็นปัญหาข้อเท็จจริงอันต้องห้ามฎีกาก็ตาม แต่เมื่อฎีกาของจำเลยได้ขึ้นสู่ศาลฎีกาโดยปัญหาข้อกฎหมาย หากศาลฎีกาเห็นว่าโทษที่จำเลยจะพึงได้รับตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์รุนแรงเกินไป ศาลฎีกาก็ชอบที่จะยกขึ้น พิจารณาได้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ความยุติธรรม และพิพากษาวางโทษจำคุกแก่จำเลยในสถานเบากว่านั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลาอุทธรณ์, สิทธิอุทธรณ์, และการใช้กฎหมายอาญาใหม่ที่เบากว่าเดิม
การสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาและมีคำสั่งตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาตามคำร้อง โจทก์ร่วมชอบที่จะอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคแรก เพราะคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วและยังไม่ได้มีการสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 196 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำผิด บัญญัติเกี่ยวกับโทษไว้ว่าต้องระวางโทษปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งจำทั้งปรับ มีอัตราโทษเบากว่าโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิด และเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1และที่ 2 ผู้กระทำความผิด จึงต้องใช้กฎหมายใหม่บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1427/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้กฎหมายอาญาใหม่ที่มีโทษเบากว่าในคดีเช็ค โดยใช้หลักกฎหมายที่บัญญัติให้ใช้กฎหมายที่เป็นคุณต่อจำเลย
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 บังคับใช้ โดยพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497และตามกฎหมายใหม่ มาตรา 4 กำหนดโทษผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมีโทษเบากว่าจึงต้องใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตาม ป.อ. มาตรา 3 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1เป็นเงิน 500,000 บาท นั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษปรับจำเลยที่ 1 ใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1427/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เปลี่ยนแปลงโทษตามกฎหมายเช็คใหม่: โทษเบากว่าต้องใช้บังคับกับจำเลย
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1ได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 บังคับใช้ โดยพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497และตามกฎหมายใหม่ มาตรา 4 กำหนดโทษผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมีโทษเบากว่าจึงต้องใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 500,000 บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษปรับจำเลยที่ 1 ใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5977/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษฐานสนับสนุนความผิดแม้โจทก์มิได้ขอ ศาลมีอำนาจลงโทษได้หากโทษเบากว่าความผิดหลัก
โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดกับผู้อื่นแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าพฤติการณ์ของจำเลยเป็นเพียง ผู้สนับสนุนแม้โจทก์จะมิได้บรรยายมาในฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยในฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดได้ ไม่ถือว่าเกินคำขอเพราะการสนับสนุนการกระทำความผิดมีโทษเบากว่าการกระทำความผิดของตัวการตามที่โจทก์ฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 123/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลกระทบของกฎหมายใหม่ต่อคดีเก่า: เปลี่ยนโทษจากกฎหมายฝิ่นเป็นกฎหมายยาเสพติดให้โทษ
ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 3 ยกเลิกพระราชบัญญัติฝิ่น พุทธศักราช 2472 โดยบัญญติให้ฝิ่นหรือมูลฝิ่นเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และมาตรา 17 บัญญัติห้ามมิให้มียาเสพติดให้โทษประเภท 2 ไว้ในครอบครอง หากฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 69 ซึ่งมีโทษเบากว่าโทษฐานมีมูลฝิ่นไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติฝิ่น พุทธศักราช 2472 อันเป็นกรณีที่กฎหมายซึ่งใช้ในขณะกระทำผิด แตกต่างกับกฎหมายซึ่งใช้ในภายหลังการกระทำผิดเป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 69 ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3685/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: โทษเบากว่าเมื่อผู้เยาว์เต็มใจ และการพิจารณาเหตุผลของผู้เสียหาย
ปัญหาที่ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ซึ่งเมื่อไม่เป็นความผิดตามมาตรา 318 นี้แล้วจะลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา319 วรรคแรกได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้แล้วก็ตามศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้
การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสองและพากันมาบ้านจำเลย นอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืน จำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย และจำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
เหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วย เพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลงและตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่าจะไปบ้านจำเลยอยากเห็นขาอ่อนจำเลยเป็นการจูงใจจำเลยดังนี้จึงสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2104/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามกฎหมาย และการใช้กฎหมายอาญาที่แก้ไขใหม่ที่มีโทษเบาแก่ผู้กระทำผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ไม่ริบไม้ของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ริบไม้ของกลาง ฟ้องโจทก์อ้าง พระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 73 แก้ไขฉบับที่ 4 วรรคแรก ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 4,000 บาทศาลชั้นต้นพิพากษาอ่านวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2522 โจทก์ยื่นอุทธรณ์วันที่8 มีนาคม 2522 เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ต่อมาพระราชบัญญัติป่าไม้ แก้ไขโทษสูงขึ้นระหว่างอุทธรณ์ ก็ยังต้องใช้ระวางโทษเบาที่เป็นคุณตามเดิม ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยไม่ได้ต้องยกอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1829/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้กฎหมายอาญาในอดีตและปัจจุบัน กรณีโทษเบากว่าเดิม คดีปล้นทรัพย์
ขณะที่จำเลยกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิง ยังไม่มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ออกใช้บังคับ การกระทำอันมีองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรีฯลฯ นั้น ยังไม่มีกฎหมายกำหนดโทษให้หนักขึ้นในขณะจำเลยกระทำผิดโจทก์ย่อมขอให้ศาลใช้มาตรา 340 ตรี เป็นบทลงโทษหรือนำไปประกอบมาตรา 340 วรรค 4 เพื่อให้โทษหนักขึ้นมิได้ คงได้แต่ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรค 4 เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำผิด แต่เมื่อปรากฏว่าในระหว่างพิจารณาได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ออกใช้บังคับ ข้อ 14 ประกาศนี้แก้ไขโทษของมาตรา 340 วรรค 4 เดิมให้เบาลงก็ต้องใช้มาตรา 340 วรรค 4 ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 14 บังคับแก่คดีนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 โจทก์จะอ้างว่าโทษตามมาตรา 340 วรรค 4 ที่แก้ไขใหม่โดยประกาศข้อ 14 ให้เพิ่มขึ้นกึ่งหนึ่งตามมาตรา 340 ตรี. ที่บัญญัติเพิ่มเติมขึ้นโดยข้อ 15 คำนวณโทษแล้วมีอัตราหนักกว่ามาตรา 340 วรรค 4 เดิม มาตรา 340 วรรค 4 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี ที่แก้ไขใหม่นั้นไม่เป็นคุณแก่จำเลย จะต้องวางโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 เดิม ดังนี้ หาถูกต้องไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 700/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทกฎหมายอาญาเพื่อประโยชน์จำเลย: เลือกบทที่มีโทษเบากว่าได้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูง 7 ปี ไม่มีขั้นต่ำ ย่อมเป็นกฎหมายที่มีส่วนเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 230 ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูง 10 ปี และคั่นต่ำ 5 ปี
การที่ศาลจะใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษจำเลยมากน้อยเท่าใด ก็ชอบที่จะปรับบทเสียก่อนว่า ควรต้องลดโทษจำเลยด้วยบทมาตราใด ปรับบทตามกฎหมายแล้วจึงใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษได้ภายในอัตราโทษที่บัญญัติไว้ในบทมาตรานั้น
การใช้กฎหมายที่มีส่วนเป็นคุณแก่จำเลย อันเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี ย่อมเป็นผลถึงจำเลยซึ่งไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาด้วย
of 3