พบผลลัพธ์ทั้งหมด 10 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5966/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานให้การเท็จช่วยเหลือจำเลย, ความผิดฐานให้การเท็จ
จำเลยที่ 3 ทราบว่าโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ แต่กลับมาให้การเป็นพยานด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5966/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานให้การเท็จพยานต่อพนักงานสอบสวนเพื่อช่วยเหลือจำเลยร่วม การรับฟังพยานหลักฐานและการลงโทษ
จำเลยที่3ทราบว่าโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์แต่กลับมาให้การเป็นพยานด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่1การกระทำของจำเลยที่3จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา173
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 374/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จต่อศาลเพื่อประโยชน์ในการจัดการมรดกเข้าข่ายความผิดฐานให้การเท็จ
จำเลยเป็นน้อง ส. ขณะจำเลยเบิกความในคดีที่จำเลยร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. นั้น จำเลยรู้อยู่แล้วว่าส. ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้โจทก์และผู้อื่นแล้ว จำเลยจึงเป็นผู้ถูกตัดมิให้รับมรดก และไม่มีฐานะเป็นทายาทที่จะร้องขอให้ศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดก การที่จำเลยเบิกความในคดีดังกล่าวว่า ส. มิได้ทำพินัยกรรมทรัพย์มรดกให้ผู้ใด และมิได้ตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก เป็นเหตุให้ศาลเชื่อตามคำเบิกความของจำเลย และตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. คำเบิกความของจำเลยจึงเป็นข้อสำคัญในคดี การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3702/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จ: จำเลยต้องเห็นเหตุการณ์จริง หากให้การเท็จว่าเห็น ย่อมมีความผิด แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะกระทำผิดจริง
ความสำคัญของคดีแจ้งความเท็จอยู่ที่ว่า จำเลยเห็นเหตุการณ์การกระทำผิดของผู้อื่นตามที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าผู้อื่นกระทำผิดหรือไม่ เพราะแม้ผู้อื่นกระทำผิดจริง แต่ถ้าจำเลยไม่เห็นการกระทำผิดแล้วบังอาจให้การว่าเห็น ก็มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
การที่จำเลยให้การเท็จว่าเห็นเหตุการณ์แล้วขอถอนคำให้การอ้างว่าที่ให้การไว้เพราะได้รับการเสื้ยมสอน จำเลยก็ยังมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา172, 174
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา181(2) ข้อความที่ว่าเป็นการกระทำในกรณีแห่งข้อหา ว่าผู้อื่นกระทำความผิดที่มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีขึ้นไปนั้น หมายถึง อัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดไว้
การที่จำเลยให้การเท็จว่าเห็นเหตุการณ์แล้วขอถอนคำให้การอ้างว่าที่ให้การไว้เพราะได้รับการเสื้ยมสอน จำเลยก็ยังมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา172, 174
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา181(2) ข้อความที่ว่าเป็นการกระทำในกรณีแห่งข้อหา ว่าผู้อื่นกระทำความผิดที่มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีขึ้นไปนั้น หมายถึง อัตราโทษขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนดไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1103/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ และการลดโทษโดยคำนึงถึงการให้การเท็จต่อศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้รอการลงโทษ เป็นการแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ผู้ตายเมาสุราแล้วเข้ากอดปล้ำภรรยาจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้มีแทงผู้ตายไปหลายที จนกระทั้งผู้ตายขาดใจตาย การที่ผู้ตายชกต่อยจำเลยโดยไม่มีอาวุธแต่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายจนถึงตาย เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
เมื่อจำเลยได้ฆ่าผู้ตายแล้ว จำเลยได้มอบตัวแก่เจ้าพนักงาน แต่จำเลยไม่ได้ให้ความสัจความรู้อันจะเป็นประโยชน์แก่ทางพิจารณาต่อศาลอย่างตรงไปตรงมา จำเลยยังเบี่ยงบ่ายต่อสู้คดีอ้างป้องกันอันเป็นเหตุที่จะไม่ต้องรับผิด จำเลยจึงไม่ควรได้รับการลดให้มากถึงกึ่งหนึ่งอันเป็นการลดโทษจนเต็มที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 พิพากษาแก้ให้ลดโทษให้จำเลยเพียง 1 ใน 3
ผู้ตายเมาสุราแล้วเข้ากอดปล้ำภรรยาจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้มีแทงผู้ตายไปหลายที จนกระทั้งผู้ตายขาดใจตาย การที่ผู้ตายชกต่อยจำเลยโดยไม่มีอาวุธแต่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายจนถึงตาย เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
เมื่อจำเลยได้ฆ่าผู้ตายแล้ว จำเลยได้มอบตัวแก่เจ้าพนักงาน แต่จำเลยไม่ได้ให้ความสัจความรู้อันจะเป็นประโยชน์แก่ทางพิจารณาต่อศาลอย่างตรงไปตรงมา จำเลยยังเบี่ยงบ่ายต่อสู้คดีอ้างป้องกันอันเป็นเหตุที่จะไม่ต้องรับผิด จำเลยจึงไม่ควรได้รับการลดให้มากถึงกึ่งหนึ่งอันเป็นการลดโทษจนเต็มที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 พิพากษาแก้ให้ลดโทษให้จำเลยเพียง 1 ใน 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1188/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากการให้การเท็จต่อคณะกรรมการสอบสวน และการแบ่งแยกความรับผิดของลูกหนี้ร่วม
จำเลยกล่าวอ้างไว้แจ้งชัดในอุทธรณ์และในศาลชั้นต้นจำเลยก็ให้การ ว่าไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ พออนุโลมได้ว่าจำเลยได้ยกความข้อที่ว่าจำเลยไม่ควรร่วมกันแทนกันรับผิดต่อโจทก์ขึ้นอ้างอิงแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ประกอบกับมาตรา 247
ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ โดยจำเลยให้การหรือแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ทำให้โจทก์ต้องออกจากตำแหน่ง แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนโจทก์เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2504 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปีเดียวกัน จำเลยต่างคนต่างให้การอ้างว่ารู้เห็นในหน้าที่ของตน จึงไม่มีลักษณะเป็นลูกหนี้ร่วมกัน ทั้งตามฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ร่วมกัน จึงไม่ควรที่จะให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ร่วมกันหรือแทนกัน
ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ โดยจำเลยให้การหรือแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ทำให้โจทก์ต้องออกจากตำแหน่ง แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนโจทก์เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2504 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปีเดียวกัน จำเลยต่างคนต่างให้การอ้างว่ารู้เห็นในหน้าที่ของตน จึงไม่มีลักษณะเป็นลูกหนี้ร่วมกัน ทั้งตามฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ร่วมกัน จึงไม่ควรที่จะให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ร่วมกันหรือแทนกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 121/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้การเท็จในชั้นสอบสวนที่ขัดแย้งกันเองเป็นหลักฐานพิสูจน์ความเท็จได้ แม้ไม่มีพยานยืนยัน
การที่จะพิสูจน์ถ้อยคำของบุคคลที่กล่าวอ้างว่าได้เห็นเหตุการณ์ใด ๆ ว่าเป็นเท็จนั้น ไม่จำต้องมีประจักษ์พยานมายืนยันโดยตรงว่าบุคคลนั้นมิได้เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นเสมอไป ในบางกรณี รายละเอียดแห่งถ้อยคำของผู้นั้นโดยลำพังหรือประกอบด้วยพฤติการณ์ของผู้นั้นเอง ย่อมพิสูจน์ได้ในตัวว่าผู้นั้นกล่าวคำเท็จ
ฟ้องว่าจำเลยให้การเท็จในคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวน ขอให้ลงโทษตามประมาวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,172 เมื่อพิจารณาได้ความตามฟ้อง ศาลย่อมพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 172
ฟ้องว่าจำเลยให้การในครั้งแรกว่าจำเลยได้ยินเสียงปืน อีกสักครู่ก้เห็น ค.ถือปืนสั้น กับท.และ จ. โผล่ออกมาจากข้างถนน แล้วตอนท้ายจำเลยว่า เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ ต.กับพวกใช้ปืนยิงด้วย ต่อมาจำเลยให้การในครั้งหลังว่า ผู้ตายขี่จักรยานหนี ต.กับพวก ท.และจ. ถ้อยคำที่ให้การนี้เป็นเท็จทั้งสิ้น ดังนี้ แม้ศาลจะฟังว่าเฉพาะคำให้การในครั้งหลังเป็นความเท็จเพียงตอนเดียว ก็ลงโทษตามมาตรา 172 ได้
ฟ้องว่าจำเลยให้การเท็จในคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวน ขอให้ลงโทษตามประมาวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,172 เมื่อพิจารณาได้ความตามฟ้อง ศาลย่อมพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 172
ฟ้องว่าจำเลยให้การในครั้งแรกว่าจำเลยได้ยินเสียงปืน อีกสักครู่ก้เห็น ค.ถือปืนสั้น กับท.และ จ. โผล่ออกมาจากข้างถนน แล้วตอนท้ายจำเลยว่า เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ ต.กับพวกใช้ปืนยิงด้วย ต่อมาจำเลยให้การในครั้งหลังว่า ผู้ตายขี่จักรยานหนี ต.กับพวก ท.และจ. ถ้อยคำที่ให้การนี้เป็นเท็จทั้งสิ้น ดังนี้ แม้ศาลจะฟังว่าเฉพาะคำให้การในครั้งหลังเป็นความเท็จเพียงตอนเดียว ก็ลงโทษตามมาตรา 172 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างสัญญาเช่าที่ไม่เคยทำขึ้นจริงต่อศาลเข้าข่ายความผิดฐานให้การเท็จ ไม่เป็นความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร
เช่าบ้านเขาอยุ่โดยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาเช่ากันไว้ ครั้นเจ้าของบ้านขายบ้านนั้นให้ผู้อื่นไป ผู้ซื้อคนใหม่ให้ผุ้เช่าออกจากบ้านเช่า ผู้เช่าก็ไม่ยอมออก ผู้ซื้อจึงฟ้องขับไล่ผู้เช่าได้สมคบกับเจ้าของบ้านคนเดิมทำหนังสือสัญญาเช่าขึ้น 1 ฉะบับแล้วผู้เช่าเอามาอ้างเป็นพยานต่อศาลดังนี้ ถือว่ายังไม่เป็นผิดฐานปลอมหนังสือ แต่เป็นผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 157 ( อ้างฎีกาที่ 654/2480 )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 498/2486 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มเติมฟ้องและการพิสูจน์เจตนาในการให้การเท็จเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
ฟ้องโจทกล่าวแต่เพียงว่าผู้เสียหายได้ไปแจ้งแก่จำเลยว่า นายปิ่งข่มขืนชำเราเด็กหยิงเคี่ยม ครั้นไนชั้นสอบสวนจำเลยกลับไห้การว่า ผู้เสียหายไปแจ้งต่อจำเลยเพียงว่าเด็กหยิงเคี่ยมหนีไปจากนายลา นายลามิได้แจ้งว่านายปิ่งข่มขืนชำเราเด็กหยิงเคี่ยมเช่นนี้ยังไม่พอลงโทสจำเลยตาม ม. 154(2)
ขอเพิ่มเติมฟ้องอ้างบทลงโทสเพิ่มขึ้นอีกโดยกล่าวฟ้องเดิมยังบกพร่องหยู่นั้นถือว่าไม่ได้สแดงเหตุอันสมควนสาลอนุญาตไห้เพิ่มเติมฟ้องไม่ได้ (อ้างดีกาที่ 774/2481).
ขอเพิ่มเติมฟ้องอ้างบทลงโทสเพิ่มขึ้นอีกโดยกล่าวฟ้องเดิมยังบกพร่องหยู่นั้นถือว่าไม่ได้สแดงเหตุอันสมควนสาลอนุญาตไห้เพิ่มเติมฟ้องไม่ได้ (อ้างดีกาที่ 774/2481).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 593/2473
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จและการให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน โดยจำเลยทราบว่าไม่มีความผิดเกิดขึ้นจริง
จำเลยเบิกความเปนพะยานต่ออำเภอว่าเขาเปนผู้ร้ายลักทรัพย์ ซึ่งความจริงจำเลยทราบแล้วว่ามิได้มีการทำผิดเกิดขึ้นเลยดังนี้ จำเลยมีผิดตาม ม.118 จำเลยรับบอกเล่าจากเจ้าทรัพย์ว่ามีผู้ร้ายลักทรัพย์ไป จึงนำความไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่าเขาเปนผู้ร้ายดังนี้ จำเลยไม่มีผิด พรบ ฎีกาอุทธรณ์ พ.ศ.2461 ม.8 ศาลเดิมวางบท 118 ให้จำคุกจำเลย 2 เดือน ศาลอุทธรณ์แก้วางบท 58 ให้จำคุก 1 ปี จำเลยฎีกาได้ วิธีพิจารณาอาญา จำเลยผู้ซึ่งยังมิได้ฟังคำตัดสินมีฎีกาขึ้นมา คดีส่วนตัวจำเลยเหล่านี้ ต้องงดการวินิจฉัยไว้ก่อน