คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ไต่สวนพยาน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 19 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4003/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดค่าเสียหายจากสัญญาประนีประนอมยอมความ และการไต่สวนพยานจำเลยที่ไม่ชอบ
โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยซ่อมแซมบ้านให้โจทก์เพียงบางส่วน ขอให้ศาลกำหนดค่าเสียหายของโจทก์ แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพียงว่า จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ได้กำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้แก่โจทก์ตามที่โจทก์ยื่นคำร้อง ทั้งตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 3 โจทก์จำเลยตกลงกันไว้ว่าหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาข้อ 1 และข้อ 2 จำเลยจะชดใช้เงินค่าเสียหายที่แท้จริงให้แก่โจทก์ไม่เกิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเท่านั้น ไม่ได้ตกลงจำนวนค่าเสียหายกันไว้ให้แน่นอนที่จะสั่งให้จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์ได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่สั่งว่าค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใด จึงไม่ทำให้คดีเสร็จไป โจทก์จำเลยจะต้องมาดำเนินกระบวนพิจารณากันในเรื่องค่าเสียหายของโจทก์อีก คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบ
การกำหนดค่าเสียหายในประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เสียหายเพียงใดนั้น นอกจากจะพิจารณาจากการเผชิญสืบบ้านแล้ว ยังต้องพิจารณาคำเบิกความของพยานโจทก์จำเลยด้วย การที่ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานโจทก์จนหมดและไต่สวนพยานจำเลยบางส่วนแล้วสั่งงดการไต่สวนโดยไม่ไต่สวนพยานจำเลยต่อไปให้สิ้นกระแสความ ทั้งที่ไม่ใช่เป็นความผิดของฝ่ายจำเลยเช่นนี้ย่อมเป็นการไม่ชอบ กรณีมีเหตุสมควรให้ไต่สวนพยานจำเลยต่อไป ทั้งในกรณีเช่นนี้แม้คู่ความไม่ได้โต้แย้งคำสั่งให้งดการไต่สวนก็เป็นเรื่องพิจารณาโดยไม่ชอบ ศาลฎีกาสั่งให้ย้อนสำนวนไปศาลชั้นต้นไต่สวนพยานจำเลยต่อไปแล้วมีคำสั่งใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2962/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กระบวนการละเมิดอำนาจศาลต้องไต่สวนพยานหลักฐานก่อนตัดสิน หากไม่มีการไต่สวน ถ้อยคำของพยานยังไม่เป็นที่รับฟัง
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลซึ่งมิได้กระทำต่อหน้าศาล และผู้ถูกกล่าวหาให้การปฏิเสธ ศาลต้องไต่สวนพยานหลักฐานหาข้อเท็จจริงเสียก่อนให้ได้ความว่ามีการกระทำดังกล่าวหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นเพียงสอบถามปากคำของ ด. และผู้ถูกกล่าวหา โดยไม่ปรากฏว่า ด. ได้สาบานตนหรือกล่าวคำปฏิญาณว่าจะให้การตามสัตย์จริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 112 ถ้อยคำของ ด. จึงรับฟังเป็นความจริงยังไม่ได้ ปัญหาว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้ถูกกล่าวหามิได้ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3696/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขออุทธรณ์เป็นคนอนาถาต้องมีการไต่สวนพยานก่อน หากไม่มีสิทธิยื่นคำร้องใหม่ และต้องคืนค่าธรรมเนียมศาล
การที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ ได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลได้ไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องหรืออนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลบางส่วน ผู้ขอจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนได้แต่เมื่อคดีปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน จึงไม่มีการสืบพยานจำเลยทั้งสองในชั้นไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาเลย กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่
การดำเนินกระบวนพิจารณานับตั้งแต่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาจนถึงชั้นฎีกานั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ กรณีจึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 วรรคท้าย เมื่อจำเลยทั้งสองเสียค่าธรรมเนียมศาลดังกล่าวมาจึงต้องคืนแก่จำเลยทั้งสองทั้งหมด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3983/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไต่สวนพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์การหยุดละเมิดลิขสิทธิ์: ศาลต้องไต่สวนเพื่อความยุติธรรม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทำละเมิดสิทธิ์ต่อโจทก์ การที่จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายจำเลยใช้สิทธิตามที่กฎหมายวิธีพิจารณาความตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้นมิได้หมายความว่าหลังจากใช้สิทธิตามกฎหมายดังกล่าวแล้วฝ่ายจำเลยจะต้องทำละเมิดลิขสิทธิ์ของฝ่ายโจทก์ตลอดมา เพราะฝ่ายจำเลยอาจไม่กล้าเสี่ยงที่จะดำเนินธุรกิจที่มีข้อพิพาทนี้ต่อไปหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีนี้แล้วก็เป็นได้ ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นงดไต่สวนพยานหลักฐานของฝ่ายจำเลยแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยยังคงทำละเมิดต่อโจทก์ตลอดมาและได้หยุดกระทำละเมิด ณ วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษาให้จำเลยหยุดกระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนพยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีนั้น จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แต่ที่ศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งว่าจำเลยหยุดการทำละเมิด ณ วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกามาด้วยนั้นยังไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2474/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดอำนาจศาล: การไต่สวนพยานลับหลังจำเลยชอบด้วยกฎหมาย หากจำเลยได้รับแจ้งนัดและไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุ
บทบัญญัติในเรื่องละเมิดอำนาจศาลเป็นกฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจศาลในอันที่จะค้นหาความจริงได้โดย ไม่ต้องกระทำต่อหน้าผู้ถูกกล่าวหาดังเช่นคดีอาญาทั่วไป ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานโดยผู้ถูกกล่าวหา มิได้อยู่ด้วยจึงชอบแล้ว อย่างไรก็ดีแม้ว่าในวันที่ 30 มกราคม 2540 ศาลชั้นต้นได้ทำการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยไม่ได้แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบก่อนก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เลื่อนไปไต่สวนต่อในวันที่ 21 มีนาคม 2540 และ ส่งหมายเรียกถึงผู้ถูกกล่าวหาโดยชอบแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาย่อมมีโอกาสโดยบริบูรณ์ที่จะแถลงข้อเท็จจริงให้ศาลทราบ รวมทั้งขออนุญาตถามค้านพยานที่เบิกความต่อศาลแล้ว ตลอดจนนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อหักล้างพยานหลักฐานที่ศาลชั้นต้นไต่สวน แต่ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งรับหมายเรียกของศาลด้วยตนเองกลับไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ทราบ เมื่อเป็นเช่นนี้การที่ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนพยานต่อไปจนเสร็จสำนวนแล้วมีคำสั่งว่าผู้ถูกกล่าวหาทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ทราบถือว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ติดใจสืบพยานจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4682/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนคำสั่งตั้งผู้อนุบาล: เหตุแห่งการคัดค้าน, ความชอบด้วยกฎหมาย, การไต่สวนพยานหลักฐาน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศ.เป็นคนไร้ความสามารถและตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาล ผู้คัดค้านทั้งสามร้องคัดค้านขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาล ศ. เนื่องจากคำร้องของผู้ร้องที่ขอเป็นผู้พิทักษ์ของ ศ. และคำร้องขอเป็นผู้อนุบาลของ ศ.เป็นความเท็จ และเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่สุจริตปิดบังข้อเท็จจริง และปิดบังพินัยกรรมของบิดาผู้ร้องที่ตั้งผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้พิทักษ์ของนางสาวศรีสกุล ทั้งศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้พิทักษ์ของ ศ.อยู่ก่อนที่ผู้ร้องจะขอเป็นผู้พิทักษ์ของ ศ. และคดีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องเป็นผู้พิทักษ์ของ ศ. ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ร้องคัดค้านขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวซึ่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ประกอบกับคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านไม่ได้ขอถอนการเป็นผู้อนุบาลโดยอ้างเหตุตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1598/8 เนื่องจากมาตรา 28 วรรคสอง บัญญัติให้การแต่งตั้งผู้อนุบาลอำนาจหน้าที่ของผู้อนุบาล และการสิ้นสุดของความเป็นผู้อนุบาลให้เป็นไปตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่ง ป.พ.พ.นี้และมาตรา 1598/18 วรรคสอง บัญญัติให้นำบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ปกครองมาใช้บังคับในกรณีที่บุคคลอื่นซึ่งมิใช่บิดามารดาหรือมิใช่คู่สมรสเป็นผู้อนุบาลให้นำบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ปกครองมาใช้บังคับโดยอนุโลมดังนั้น การแต่งตั้งผู้อนุบาลจึงต้องอนุโลมตามการแต่งตั้งผู้ปกครองด้วย ดังนี้ เมื่อได้ความว่า หากปรากฏว่าบุคคลที่ศาลตั้งให้เป็นผู้อนุบาล เป็นผู้ต้องห้ามมิให้เป็นผู้อนุบาลตามมาตรา 1587 อยู่ในขณะที่ศาลตั้งให้เป็นผู้อนุบาล โดยปรากฏแก่ศาลเองหรือผู้มีส่วนได้เสียหรืออัยการร้องขอ ก็ให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งตั้งผู้อนุบาลนั้นเสียอันเป็นกรณีร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งตั้งผู้อนุบาลที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมตามมาตรา1588 ภายหลังจากศาลมีคำสั่งตั้งแล้ว จึงไม่ใช่กรณีที่ยื่นคำร้องคัดค้านเมื่อล่วงเลยเวลาที่จะยื่นคำคัดค้านแล้ว ทั้งไม่ใช่กรณีที่ขอถอนผู้อนุบาลตามมาตรา 1598/8ผู้คัดค้านจึงยื่นคำคัดค้านได้
ผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสามมีข้อพิพาทกันอยู่แล้ว แต่คดียังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาชั้นอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องเป็นผู้พิทักษ์ ศ.โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การที่ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำร้องเข้ามาในคดีนี้เพื่อให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นผู้พิทักษ์โดยไม่ชอบนั้น ผู้ร้องยอมรับอยู่ว่า คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2537 ตั้งผู้ร้องเป็นผู้พิทักษ์ของ ศ. ครั้นวันที่ 16 พฤศจิกายน 2537 ผู้คัดค้านที่ 1 ร้องคัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องคัดค้านเพราะยื่นล่วงเลยกำหนดเวลา ผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนใหม่ และมีคำสั่งไปตามรูปคดี ต่อมาศาลชั้นต้นทำการไต่สวนใหม่ และในวันที่ 29 มกราคม 2539มีคำพิพากษาตั้งให้ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้พิทักษ์ของ ศ. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2539 ผู้ร้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น วันที่ 14 มกราคม 2540 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของผู้ร้องและคดีถึงที่สุด ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาในคดีนี้ ก็เพื่อให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลนางสาวศรีสกุลจึงไม่ใช่กรณีร้องซ้อน
ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาลโดยอ้างเหตุแห่งการคัดค้านหลายประการดังกล่าวมาแล้วข้างต้น จึงจำเป็นต้องฟังพยานหลักฐานให้สิ้นกระแสความเสียก่อนที่จะวินิจฉัยว่ามีเหตุควรเพิกถอนคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาล ศ.หรือไม่ ชอบที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องทำการไต่สวนพยานหลักฐานของผู้คัดค้านและผู้ร้องแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4658/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ยกคำขอฟ้องคดีอนาถา หลังไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอฟ้องคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลย จำเลยได้ร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่โดยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจน ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานหลักฐานที่จำเลยนำมาแสดงแล้วยังคงเห็นว่าจำเลยไม่ใช่คนยากจน ให้ยกคำร้องขอของจำเลย คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอของจำเลยในกรณีเช่นนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคสี่ มิได้บัญญัติว่าให้เป็นที่สุด จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ภายใน 7 วัน นับแต่วันศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคห้า.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5049/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งวันนัดพิจารณาคดีและการขอพิจารณาคดีใหม่ หากโจทก์ไม่ทราบวันนัด ศาลต้องไต่สวนพยานหลักฐาน
การที่ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดโดยโจทก์ไม่ทราบกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์นั้น กรณีไม่อยู่ในบังคับที่โจทก์จะต้องร้องขอให้ศาลยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ศาลยกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 166 วรรคสอง ประกอบมาตรา 181.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่แจ้งเหตุพยานไม่มาศาล และผลกระทบต่อการไต่สวนพยาน การที่ศาลไม่รอฝ่ายจำเลยเกินสมควร
ศาลนัดสืบพยานจำเลยเวลา 9.00 นาฬิกา ถึงเวลานัดทนายจำเลยมาศาลแต่พยานจำเลยยังไม่มา ทนายจำเลยรอพยานอยู่นอกห้องพิจารณาโดยมิได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดีต่อศาลหรือเจ้าหน้าที่ของศาล ศาลออกนั่งพิจารณาเวลา 9.33 นาฬิกา และสั่งว่า จำเลยไม่มาศาล โดยมิได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนถือว่าไม่มีพยานมาสืบและนัดฟัง คำพิพากษา เช่นนี้แสดงว่าศาลรอจำเลยเกินกำหนดนัดไป33 นาที โดยจำเลยมิได้ดำเนินการอย่างใด จำเลยจะอ้างว่าเป็นความเข้าใจผิด ของทนายจำเลยว่าศาลจะพิจารณาคดีของตนเป็นเรื่องที่สองไม่ได้ เพราะจะทำให้กำหนดวันเวลาที่ศาลนัดไว้ไร้ ประโยชน์ จึงไม่จำเป็นต้อง ไต่สวนคำร้องขอสืบพยานของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดไต่สวนพยานจำเลยที่ไม่พร้อมเบิกความ: ศาลยังต้องรอคำสั่งทนายจำเลยถอนตัวก่อน
พยานจำเลยมาศาลปากเดียว ยังไม่แน่ว่าพร้อมจะเบิกความหรือไม่ทนายจำเลยขอถอนตัว แต่ศาลยังไม่มีคำสั่ง ดังนี้ ไม่ชอบที่จะถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบและงดไต่สวนพยานจำเลย
ศาลชั้นต้นงดไต่สวนพยานจำเลยและยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ไต่สวนว่าจำเลยมิได้ผิดนัดตามคำพิพากษาที่บังคับตามประนีประนอมยอมความ เป็นคำสั่งชั้นบังคับคดีซึ่งมีผลให้คำร้องนั้นเสร็จไป ดังนี้ มิใช่คำสั่งระหว่างพิจารณาที่จะต้องโต้แย้งก่อนตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
of 2