พบผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10132/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาที่ใช้ในการกู้ยืมเงิน การส่งหมายเรียกชอบด้วยกฎหมายแต่จำเลยไม่ทราบการฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ได้ย้ายไปประกอบกิจการและจำเลยที่ ๒ ได้ย้ายไปอยู่ ณ ที่บ้านเลขที่ ๖๕ หมู่ที่ ๘ ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ แต่ขณะที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์และจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกัน จำเลยทั้งสองได้ระบุภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันไว้ตรงกับหลักฐานทางทะเบียนของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท และหลักฐานทางทะเบียนบ้าน โดยมิได้ระบุภูมิลำเนาเลขที่๖๕ ดังกล่าวไว้ในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกัน ทั้งที่จำเลยที่ ๑ ได้ย้ายไปประกอบกิจการและจำเลยที่ ๒ ได้ย้ายไปอยู่ ณ บ้านเลขที่ ๖๕ นั้นแล้ว แต่ก็มิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ ๑ ดังนี้ถือว่าจำเลยที่ ๑ มีภูมิลำเนา๒ แห่ง คือตามที่ได้จดทะเบียนที่ตั้งสำนักงานใหญ่และที่ได้ประกอบกิจการแท้จริงส่วนจำเลยที่ ๒ ซึ่งมีฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ด้วย ถือว่ามีภูมิลำเนาณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่ระบุในทะเบียนบ้าน ถือว่าจำเลยที่ ๒ มีภูมิลำเนา ๒ แห่ง คือตามที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของจำเลยที่ ๑ และที่จำเลยที่ ๑ ประกอบกิจการแท้จริง
เมื่อจำเลยทั้งสองใช้บ้านเลขที่ ๓๔/๑ หมู่ที่ ๔ ตำลคลองหนึ่งอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นภูมิลำเนาในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันจึงถือว่าจำเลยทั้งสองได้เลือกเอาบ้านเลขที่ ๓๔/๑ ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาสำหรับการกู้ยืมเงินและการค้ำประกันกับโจทก์ การที่เจ้าพนักงานศาลได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยทั้งสองที่บ้านเลขที่ ๓๔/๑ จึงเป็นการส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง หมายนัดและคำบังคับโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้อยู่ที่ภูมิลำเนาดังกล่าว และจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง ดังนี้ แม้การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับให้แก่จำเลยทั้งสองจะเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
เมื่อจำเลยทั้งสองใช้บ้านเลขที่ ๓๔/๑ หมู่ที่ ๔ ตำลคลองหนึ่งอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นภูมิลำเนาในสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันจึงถือว่าจำเลยทั้งสองได้เลือกเอาบ้านเลขที่ ๓๔/๑ ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาสำหรับการกู้ยืมเงินและการค้ำประกันกับโจทก์ การที่เจ้าพนักงานศาลได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องรวมทั้งหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยทั้งสองที่บ้านเลขที่ ๓๔/๑ จึงเป็นการส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง หมายนัดและคำบังคับโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้อยู่ที่ภูมิลำเนาดังกล่าว และจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง ดังนี้ แม้การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องหมายนัดสืบพยานโจทก์และคำบังคับให้แก่จำเลยทั้งสองจะเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแต่เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา: จำเลยไม่ทราบการฟ้องเนื่องจากเดินทางค้าขายต่างจังหวัด
ระหว่างจำเลยถูกฟ้องจำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านตามฟ้องได้เดินทางไปค้าขายต่างจังหวัดไม่ทราบว่าถูกโจทก์ฟ้องกลับจากต่างจังหวัดหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จึงทราบว่าถูกฟ้อง ดังนั้น การที่จำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การและไม่ได้มาศาลในวันนัดพิจารณา จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2578/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาคดีใหม่เมื่อจำเลยไม่ทราบการถูกฟ้อง และพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่อ้างว่า จำเลยย้ายจากภูมิลำเนาตามฟ้องไปอยู่ที่อื่นก่อนฟ้อง 3 ปีเศษแล้ว ซึ่งโจทก์อาจสืบทราบภูมิลำเนาใหม่ของจำเลยได้โดยง่าย แต่โจทก์ได้ขอให้ศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์และส่งคำบังคับโดยปิดประกาศหน้าศาลจึงเป็นการไม่ชอบ จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องและศาลออกคำบังคับโดยมีผู้แจ้งให้จำเลยทราบและจำเลยไปตรวจดูสำนวนที่ศาล ถือได้ว่าจำเลยไม่สามารถยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ และพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นี้สิ้นสุดลงเมื่อจำเลยทราบว่าถูกฟ้อง จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นี้สิ้นสุดลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2593/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นคำขอพิจารณาใหม่เกินกำหนดเนื่องจากเหตุสุดวิสัย: การไม่ทราบการถูกฟ้อง
การที่จำเลยย้ายภูมิลำเนาตามฟ้องไปอยู่ที่อื่นก่อนโจทก์ฟ้องจึงไม่ได้รับสำเนาคำฟ้อง หมายนัดและคำบังคับ และเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องและศาลออกคำบังคับจากหนังสือของทนายโจทก์ส่งไปถึงจำเลยทางที่ทำงานของจำเลย ถือได้ว่าจำเลยไม่อาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วันนับแต่วันส่งคำบังคับให้แก่จำเลยโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้และพฤติการณ์ดังกล่าวเพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อจำเลยได้ทราบจากหนังสือของทนายโจทก์จำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่พฤติการณ์ดังกล่าวได้สิ้นสุดลงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 592/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีใหม่เมื่อจำเลยไม่ทราบการฟ้องและไม่สามารถคัดสำนวนได้ทันเวลา ศาลรับคำร้องได้หากเหตุล่าช้ามิใช่ความผิดจำเลย
จำเลยได้ยื่นคำแถลงขอคัดสำนวนในวันที่ 14 ธันวาคม 2514โดยอ้างว่าเพิ่งทราบคำบังคับซึ่งปิดไว้ในที่พิพาท ต่อมาวันที่ 17 ธันวาคม 2514 มีรายงานเจ้าหน้าที่เสนอศาลว่ายังหาสำนวนไม่พบ วันที่ 30 ธันวาคม 2514 จำเลยจึงยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้คัดสำนวนไปตั้งแต่เมื่อใด แม้จะถือว่าจำเลยได้คัดสำนวนไปในวันที่ 17 ธันวาคม 2514. ก็ต้องถือว่าพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ ได้สิ้นสุดลงในวันที่ 17ธันวาคม 2514 จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ในวันที่ 30ธันวาคม 2514 จึงยังไม่เกินกำหนด 15 วัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1460/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อจำเลยไม่ทราบการฟ้องและการบังคับคดีเนื่องจากภูมิลำเนาไม่ถูกต้อง
เจ้าพนักงานศาลปิดคำบังคับวันที่ 1 พฤษภาคม 2514คำบังคับจะมีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคสองกล่าวคือมีผลใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2514 คำขอให้พิจารณาใหม่ต้องยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับ นับจากวันที่ 17 พฤษภาคม 2514 ก็จะครบกำหนดในวันที่ 31 เดือนเดียวกัน จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่วันที่ 3 มิถุนายน 2514 ย่อมล่วงพ้นกำหนดเวลาที่จะยื่นได้
จำเลยอ้างในคำขอให้พิจารณาใหม่ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่อื่นมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จำเลยจึงไม่ทราบว่าถูกฟ้อง ไม่ทราบการปิดหมายเรียกและคำบังคับจำเลยไปธุระที่อำเภอซึ่งกล่าวในฟ้องว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยจึงทราบว่าจำเลยถูกฟ้องและทราบคำบังคับเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2514 และจำเลยไปที่ศาลจึงทราบแน่นอนเมื่อวันที่ 31 เดือนเดียวกัน หากข้อเท็จจริงตามคำขอให้พิจารณาใหม่เป็นความจริงย่อมถือได้ว่าจำเลยไม่สามารถยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้และพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นี้เพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อจำเลยทราบว่าถูกฟ้องและศาลปิดคำบังคับแล้ว ซึ่งจำเลยมีสิทธิยื่นคำขอให้ฟ้องพิจารณาใหม่ได้ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1296/2510)
จำเลยอ้างในคำขอให้พิจารณาใหม่ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่อื่นมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านตามที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จำเลยจึงไม่ทราบว่าถูกฟ้อง ไม่ทราบการปิดหมายเรียกและคำบังคับจำเลยไปธุระที่อำเภอซึ่งกล่าวในฟ้องว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยจึงทราบว่าจำเลยถูกฟ้องและทราบคำบังคับเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2514 และจำเลยไปที่ศาลจึงทราบแน่นอนเมื่อวันที่ 31 เดือนเดียวกัน หากข้อเท็จจริงตามคำขอให้พิจารณาใหม่เป็นความจริงย่อมถือได้ว่าจำเลยไม่สามารถยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับโดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้และพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้นี้เพิ่งสิ้นสุดลงเมื่อจำเลยทราบว่าถูกฟ้องและศาลปิดคำบังคับแล้ว ซึ่งจำเลยมีสิทธิยื่นคำขอให้ฟ้องพิจารณาใหม่ได้ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1296/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 442/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาคดีใหม่หลังขาดนัด สืบเนื่องจากจำเลยไม่ทราบการฟ้องคดี และมีเหตุผลโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลพิจารณา
คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยกล่าวว่า จำเลยไม่ทราบว่าโจทก์ฟ้องเพราะย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ในที่กันดารห่างไกลจึงไม่ได้ต่อสู้คดี ความจริงจำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ไม่ได้พิมพ์ลายมือในสัญญากู้ศาลพิจารณาคดีโจทก์ฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี ดังนี้ เท่ากับจำเลยกล่าวแสดงเหตุผลละเอียดชัดแจ้งแล้วว่า ถ้าจำเลยได้ต่อสู้คดีสืบพยานจำเลยก็อาจชนะคดีโดยศาลอาจฟังว่าจำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ถือได้ว่าคำขอของจำเลยได้กล่าวโดยละเอียดถึงเหตุที่ขาดนัดและ ข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 แล้ว