พบผลลัพธ์ทั้งหมด 6 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1237/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนสมรสซ้ำโดยแจ้งข้อมูลเท็จ ไม่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย จึงไม่เป็นความผิดตามกฎหมายอาญา
ขณะที่จำเลยจดทะเบียนสมรสกับ ส. ในวันที่ 10 สิงหาคม 2531 จำเลยไม่มีคู่สมรสเพราะจำเลยจดทะเบียนหย่ากัน ค. ไปก่อนแล้วจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขการสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1452
จำเลยไม่มีคู่สมรสอยู่ในขณะที่จดทะเบียนสมรส แม้จำเลยจะแจ้งว่าจำเลยเคยสมรสแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็มีผลอย่างเดียวกัน การที่นายทะเบียนจดทะเบียนสมรสให้จำเลยกับ ส. โดยเชื่อว่า จำเลยไม่เคยสมรสมาก่อน จึงไม่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย และไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 137 และมาตรา 267
จำเลยไม่มีคู่สมรสอยู่ในขณะที่จดทะเบียนสมรส แม้จำเลยจะแจ้งว่าจำเลยเคยสมรสแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็มีผลอย่างเดียวกัน การที่นายทะเบียนจดทะเบียนสมรสให้จำเลยกับ ส. โดยเชื่อว่า จำเลยไม่เคยสมรสมาก่อน จึงไม่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย และไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 137 และมาตรา 267
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7423/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำของประธานศาลฎีกาที่ไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือไต่สวนคำร้องคัดค้าน ไม่ถือเป็นละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ
การที่จำเลยที่ 3 จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาหรือไม่ เป็นอำนาจบริหารงานในหน้าที่ของจำเลยที่ 3 ในตำแหน่งประธานศาลฎีกา และไม่มีผลให้คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และองค์คณะซึ่งมีอำนาจอิสระในการพิจารณาพิพากษาตามกฎหมายต้องเปลี่ยนแปลงไป โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติดังกล่าวของจำเลยที่ 3 โจทก์จึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ระบุในคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2539 จ. นำร่างคำพิพากษาศาลฎีกาไปให้โจทก์ดู และปรากฏจากสำเนาภาพถ่ายคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวว่า คำพิพากษาศาลฎีกาลงวันที่ 11 มีนาคม 2539 แสดงว่าคำพิพากษาศาลฎีกาได้ถูกเรียงเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่วันดังกล่าว แต่โจทก์เพิ่งยื่นคำร้องคัดค้านเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2539 และวันที่ 21 พฤษภาคม 2539 อันเป็นระยะเวลาหลังจากที่ศาลฎีกาได้เรียงคำพิพากษาศาลฎีกาเสร็จสิ้น ดังนั้น แม้จะไต่สวนคำร้องคัดค้านและได้ความดังคำคัดค้านก็ไม่ทำให้กระบวนพิจารณาและคำพิพากษาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และองค์คณะได้ดำเนินและเรียงเสร็จสิ้นก่อนโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านเสียไป ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 13 วรรคสอง การไต่สวนคำร้องคัดค้านจึงไม่อาจจะทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง และไม่เป็นประโยชน์ต่อโจทก์ ที่จำเลยที่ 3 ไม่ไต่สวนคำร้องคัดค้านของโจทก์และสั่งรวมไว้ในสำนวนไม่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์
โจทก์ระบุในคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2539 จ. นำร่างคำพิพากษาศาลฎีกาไปให้โจทก์ดู และปรากฏจากสำเนาภาพถ่ายคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวว่า คำพิพากษาศาลฎีกาลงวันที่ 11 มีนาคม 2539 แสดงว่าคำพิพากษาศาลฎีกาได้ถูกเรียงเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่วันดังกล่าว แต่โจทก์เพิ่งยื่นคำร้องคัดค้านเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2539 และวันที่ 21 พฤษภาคม 2539 อันเป็นระยะเวลาหลังจากที่ศาลฎีกาได้เรียงคำพิพากษาศาลฎีกาเสร็จสิ้น ดังนั้น แม้จะไต่สวนคำร้องคัดค้านและได้ความดังคำคัดค้านก็ไม่ทำให้กระบวนพิจารณาและคำพิพากษาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และองค์คณะได้ดำเนินและเรียงเสร็จสิ้นก่อนโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านเสียไป ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 13 วรรคสอง การไต่สวนคำร้องคัดค้านจึงไม่อาจจะทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง และไม่เป็นประโยชน์ต่อโจทก์ ที่จำเลยที่ 3 ไม่ไต่สวนคำร้องคัดค้านของโจทก์และสั่งรวมไว้ในสำนวนไม่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5609/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินโดยมิได้เป็นเจ้าของจริง: ตัวแทนบิดา & ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเพียงลงชื่อเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแทนบิดาเท่านั้น การที่โจทก์รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลย เป็นการกระทำตามคำสั่งของบิดาที่ต้องการให้โจทก์นำที่ดินพิพาทไปขายนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเนื่องจากบิดาไม่ไว้ใจจำเลย ถือว่าการที่โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเป็นเพียงตัวแทนบิดาโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาทแม้จำเลยจะคัดค้านการขายที่ดินพิพาท โจทก์ก็ไม่ได้รับความเสียหายจึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 66/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกจ่ายค่าจ้างงานโดยมิได้มีลูกจ้างจริง แต่ได้ผลงานและไม่มีความเสียหาย จึงไม่เป็นความผิด
จำเลยเป็นผู้กำกับแขวงการทาง ได้จ้างเหมาบุคคลภายนอกขนลูกรังมากองตามถนนสายที่กำลังก่อสร้าง แล้วทำบัญชีเป็นว่ามีคนงานของแขวงการทางนั้นทำการขนลูกรังเองแล้วเบิกจ่ายเงินค่าจ้างรายวันพร้อมทั้งเงินเพิ่มพิเศษประจำเดือนชั่วคราวและเงินยังชีพให้แก่คนงานเหล่านั้น โดยกรอกชื่อบุคคลต่างๆ ลงในบัญชีกับให้ลงลายมือชื่อว่าได้รับเงินค่าจ้างในฐานเป็นคนงานของแขวงการทางนั้นจากจำเลยแล้ว ซึ่งความจริงบุคคลที่ลงชื่อในบัญชีดังกล่าวมิได้เป็นคนงานของแขวงการทางเลยหากจำเลยได้เอาเงินที่เบิกมาได้นั้นจ่ายให้แก่ผู้รับเหมาไป ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าวิธีที่จำเลยให้บุคคลภายนอกรับงานไปทำนั้น ได้ผลงานดีกว่าที่จะให้คนงานรายวันของกรมทางทำเอง ค่าจ้างที่จำเลยจ่ายให้แก่ผู้รับเหมาก็ย่อมเยาและจำเลยได้จ่ายเงินค่าแรงงานให้ผู้รับเหมารับไปจริงๆไม่มีการเบียดบังเอาไว้เลยจึงไม่มีการเสียหาย จำเลยย่อมไม่ผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา133, 230 ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 736,737/2478,1189/2480
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 820/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนทรัพย์สินเดิมเมื่อไม่มีความเสียหาย: โจทก์มีสิทธิรับคืนทรัพย์สินที่ยังอยู่ แม้ฟ้องเรียกค่าเสียหายไม่ได้
ฟ้องหาว่าจำเลยลักทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์ กับให้ใช้ทรัพย์เมื่อปรากฏว่าทรัพย์ที่พิพาทยังอยู่หาได้ถูกทำลายสูญไปไม่เมื่อศาลตัดสินว่า โจทก์เป็นเจ้าของก็ชอบที่โจทก์จะได้รับคืนไป ศาลจะพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายไม่ได้เพราะเป็นเรื่องนอกความประสงค์ของโจทก์ไม่มีประเด็นที่จะพิจารณาข้อค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9557/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภ.ท.บ.5 ไม่แสดงสิทธิในที่ดิน การแจ้งเอกสารหายไม่ทำให้โจทก์เสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.ท.บ. 5) ไม่ใช่เอกสารที่แสดงว่าผู้ชำระค่าภาษีมีสิทธิในที่ดิน คือ สิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เพราะเอกสารที่แสดงถึงสิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินย่อมเป็นไปตาม ป.ที่ดิน มาตรา 1 คือ หนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือโฉนดที่ดิน การกระทำการเกี่ยวกับใบภาษีบำรุงท้องที่ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่กระทบถึงการที่โจทก์ยึดถือที่ดินซึ่งไม่มีเอกสารสิทธิที่จำเลยทั้งหกมอบให้ไว้เป็นหลักประกันเมื่อเข้าร่วมโครงการปลูกพืชพลังงานทดแทนกับโจทก์ ทั้งโจทก์ก็ไม่เคยมีเจตนาจะชำระค่าภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งต้องนำใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.ท.บ. 5) ท่อนที่มอบให้เจ้าของที่ดินนี้มาแสดงด้วยเมื่อมาติดต่อขอชำระภาษีบำรุงท้องที่ การที่จำเลยที่ 1 ไปแจ้งความว่าใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ที่มอบให้โจทก์ยึดถือไว้หาย แล้วไปขออกใบแทนใหม่ จึงไม่ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย