คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ไม่ลงโทษ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 15 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2983/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษจำเลยโดยศาลอุทธรณ์เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ไม่ลงโทษ
ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติว่า จำเลยกระทำความผิดในระหว่างที่ศาลรอการลงโทษจำคุกในคดีก่อน ศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาประกอบการใช้ดุลพินิจเป็นไม่รอการลงโทษให้จำเลย โดยไม่นำโทษจำคุกที่ศาลรอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ โจทก์ไม่อุทธรณ์ ถือว่าโจทก์พอใจคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์การพิจารณาพิพากษาชั้นอุทธรณ์ ป.วิ.อ.มาตรา 212 บัญญัติว่า คดีที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ลงโทษ ห้ามมิให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เว้นแต่โจทก์จะได้อุทธรณ์ในทำนองนั้น ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้นำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ตัวบุคคลในคดีอาญา: พยานหลักฐานไม่เพียงพอต่อการลงโทษ จำเลยปฏิเสธ และไม่มีพฤติการณ์หลบหนี
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน คนร้ายได้มาดักซุ่ม ยิงผู้เสียหายอยู่ที่บริเวณหลังจอมปลวกอย่างกะทันหันขณะนั้นในที่เกิดเหตุก็มีเพียงแสงสว่างจากไฟหน้ารถคันที่เกิดเหตุเท่านั้น โอกาสที่ผู้เสียหายทั้งสามจะมองเห็นและจดจำใบหน้าคนร้ายให้ได้ทุกคนจึงเป็นไปไม่ได้ โอกาสจำ บุคคลผิดพลาดไปก็มีได้มาก ทั้งหากผู้เสียหายทั้งสามเห็น และจำคนร้ายได้แน่ชัดว่าเป็นจำเลยทั้งสามจริงก็จะต้อง พูดคุยกันและแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจไปติดตามจับกุมตัว จำเลยทั้งสามให้ได้โดยเร็ว แต่ผู้เสียหายก็มิได้กระทำการ ดังกล่าวนั้น ดังนั้น แม้ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 จะชี้ตัวจำเลยทั้งสามว่าเป็นคนร้ายก็ตาม ก็ไม่ทำให้พยานโจทก์ มีน้ำหนักดีขึ้น เพราะผู้เสียหายทั้งสามรู้จักกับ จำเลยทั้งสามมาก่อนแล้วเป็นอย่างดี ส่วนจำเลยทั้งสามนั้น นอกจากจะยืนยันให้การปฏิเสธมาโดยตลอดแล้ว หลังเกิดเหตุ จำเลยทั้งสามก็มิได้หลบหนีไปอยู่ที่อื่นอันจะถือเป็น ข้อพิรุธแต่ประการใด ฉะนั้นพยานหลักฐานของโจทก์จึง ไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟังลงโทษจำเลยทั้งสามได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปฝึกอบรมในสถานพินิจสำหรับเด็กและเยาวชน ไม่ถือเป็นการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี และให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนมีกำหนดขั้นต่ำ 2 ปี และขั้นสูง 3 ปี นับแต่วันพิพากษาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 104(2) ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นอันเป็นศาลเยาวชนและครอบครัวใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนแทนการลงโทษทางอาญาแก่จำเลย จึงไม่เป็นการลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 และต้องถือว่าศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งประกอบ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 124

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3460/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีอาญาที่ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยในข้อหาครอบครองอาวุธปืนได้ แม้พบหลักฐาน แต่ไม่ใช่ประเด็นที่โจทก์ต้องการลงโทษ
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2531 จำเลยที่ 1มีอาวุธปืนยาวคาร์ไบน์ ขนาด .30 ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืนที่ไม่อาจออกใบอนุญาตได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2532เจ้าพนักงานตำรวจยึดอาวุธปืนคาร์ไบน์หมายเลขประจำปืน พร้อมเครื่องกระสุนปืนได้ที่บ้านของจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสี่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยักยอกทรัพย์โดยพนักงาน: การพิสูจน์การจำหน่ายทรัพย์สินเป็นสำคัญ หากไม่สามารถพิสูจน์การจำหน่ายและยักยอกเงินได้ ศาลไม่ลงโทษ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยักยอกเงินที่ได้จากการจำหน่ายตราไปรษณียากรซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยไป แต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่า จำเลยได้จำหน่ายตราไปรษณียากรดังกล่าวไปแล้วยักยอกเอาเงินที่จำหน่ายไปเป็นของจำเลย จำเลยอาจยักยอกเอาตราไปรษณียากรไปเพื่อจำหน่ายในภายหลังก็ได้ จึงลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงส่วนนี้ไม่ได้ และจำเลยไม่ต้องใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่ผู้เสียหาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3796/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตในการรับเงินค่าจัดหางาน แม้จะรับสารภาพ ศาลไม่สามารถลงโทษฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตได้
ตามคำฟ้องของโจทก์ปรากฎว่า จำเลยมิได้มีเจตนามาตั้งแต่แรกที่จะจัดหางานและดำเนินการติดต่อหางานใด ๆ ดังที่จำเลยกล่าวชักชวน จำเลยมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่ต้นแล้วเมื่อได้รับเงินจากคนหางานแล้ว ก็จะนำเงินดังกล่าวไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวแสดงว่าจำเลยเพียงแต่อ้างเหตุที่จะจัดหางานเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินจากผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยตามที่กล่าวในฟ้องไม่เป็นความผิดในข้อหาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตดังนี้ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลก็ลงโทษจำเลยในข้อหานี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 161-162/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อาวุธปืนผิดกฎหมาย: ผลกระทบจากกฎหมายใหม่และการไม่ลงโทษ
จำเลยมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนผิดกฎหมาย ศาลล่างลงโทษจำคุก ริบของกลาง ระหว่างฎีกามี พระราชบัญญัติ อาวุธปืน ฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 ออกใช้บังคับให้นำอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนมาขอรับอนุญาตได้โดยไม่ต้องรับโทษศาลฎีกาไม่ลงโทษฐานนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1126/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมิได้อ้างบทกฎหมายอาวุธปืนฯ แม้มีหลักฐานแสดงการครอบครอง ทำให้ศาลไม่ลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนปล้นทรัพย์จับได้พร้อมด้วยปืนและกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาตแต่โจทก์อ้างบทขอให้ลงโทษแต่ฐานปล้นทรัพย์ไม่ได้อ้างบทตาม พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯแม้ได้ความตามฟ้องดังนี้ก็แสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษฐานมีอาวุธปืนและศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้องแล้วพ้นเวลาที่จะอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องลงโทษตาม พระราชบัญญัติ อาวุธปืนฯไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 448/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รวมพิจารณาคดีอาญาเด็กและวิธีการลงโทษแบบไม่ลงโทษ (ส่งสถานพินิจ) การรวมโทษและอำนาจศาล
จำเลยกระทำความผิด 2 กรรม โจทก์ฟ้องเป็น 2 สำนวนเมื่อจะเป็นการสะดวกหากพิจารณารวมกัน ศาลชั้นต้นย่อมสั่งให้พิจารณารวมกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 28การพิพากษาความผิดของจำเลยจะต้องพิพากษาทุกกรรม ส่วนวิธีการลงโทษต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แต่จำเลยมีอายุไม่เกิน 17 ปี และศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่สมควรพิพากษาลงโทษ จึงพิพากษาให้ส่งตัวไปรับการฝึกอบรมยังสถานพินิจฯ ดังนี้ ไม่อยู่ในบังคับแห่งมาตรา 91 เพราะไม่ใช่การลงโทษ จึงรวมกำหนดระยะเวลาการส่งตัวไปรับการฝึกอบรมทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันได้ ไม่จำต้องกำหนดว่าสำนวนละเท่าใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 ในคดีจราจร: กฎหมายจราจรไม่ได้ประสงค์ลงโทษผู้ไม่ไปรายงานตน
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 เป็นบทลงโทษผู้ที่ขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ในกรณีทั่ว ๆ ไป ส่วนการที่จำเลยไม่ไปรายงานตนภายใน 24 ชั่วโมง ตามคำสั่งของตำรวจจราจรในกรณีจำเลยทำผิดกฎหมายจราจรจะเป็นผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 อีกด้วยหรือไม่นั้น ต้องระลึกถึงหลักการใช้กฎหมายอาญาว่า กฎหมายจราจรมีความประสงค์จะลงโทษบุคคลผู้ขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานหรือไม่ซึ่งจะเห็นได้จากบทบัญญัติของกฎหมายนั้นๆเองเรื่องนี้ ถึงแม้จะมี พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 64 ให้อำนาจเจ้าพนักงานสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ละเมิด พ.ร.บ. จราจรทางบกไปรายงานตนภายใน 24 ชั่วโมง ก็จริง แต่ พ.ร.บ. นี้ก็ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษแก่ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น เพราะข้อความในมาตรา 67 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดย พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2478 มาตรา 5 แสดงให้เห็นว่า การที่ให้ไปรายงานคนนั้น กฎหมายมีความประสงค์เพื่อความสะดวกทั้งสองฝ่ายเท่านั้น คือ ผู้ไปรายงานยอมให้เปรียบเทียบ ก็ไม่ต้องถูกฟ้องเป็นจำเลย ฝ่ายเจ้าพนักงานก็ไม่ต้องเสียเวลาสอบสวนพยานเพื่อดำเนินคดีต่อศาล แต่ถ้าผู้ได้รับคำสั่งไม่ไปรายงาน ก็เท่ากับผู้นั้นปฏิเสธความผิดไม่ยอมให้เปรียบเทียบ ซึ่งก็มีทางแก้อยู่แล้ว คือ
เจ้าพนักงานดำเนินคดีฟ้องต่อศาลดุจคดีอื่น ๆ ผู้ไม่ไปรายงานตนหามีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานซ้ำอีกกระทงหนึ่งไม่
(ควรเทียบดูกับฎีกาที่ 428/2502 ซึ่งวินิจฉัย โดยที่ประชุมใหญ่เกี่ยวกับปัญหาเช่นเดียวกันนี้ แต่ข้อวินิจฉัยมีต่างกันบ้าง)
of 2