พบผลลัพธ์ทั้งหมด 106 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษคดีพนัน: ศาลยืนโทษจำคุกแม้ต่ำกว่าขั้นต่ำ เพราะโจทก์ไม่โต้แย้ง
ความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันโปปั่นและเจ้ามือตาม พ.ร.บ.การพนันฯ มาตรา 4 วรรคแรก, 12 (1) มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 3 ปี และปรับตั้งแต่ 500 บาทถึง 5,000 บาท ศาลล่างใช้ดุลพินิจวางโทษก่อนลดให้จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 2 เดือน จึงเป็นการลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายบัญญัติไว้แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขกำหนดโทษให้เป็นไปตามกฎหมายได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8044/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษต่อจากคดีอาญาเดิม แม้มีการแก้ไขคำฟ้องเลขคดี แต่จำเลยเคยรับทราบและไม่โต้แย้ง
คำฟ้องของโจทก์ เดิมบรรยายว่า จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 524/2543 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยแล้ว จำเลยรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 524/2543 ต่อมาก่อนมีคำพิพากษาโจทก์ยื่นคำร้องอ้างว่าเกิดจากการพิมพ์ผิดพลาด จึงขอแก้ไขคำฟ้องให้ถูกต้องจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 524/2543 เป็นว่าคดีอาญาหมายเลขดำที่ 5924/2543 ของศาลชั้นต้นและขอแก้ไขในส่วนคำขอท้ายฟ้องที่ขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 524/2543 เป็นว่าคดีอาญาหมายเลขดำที่ 5924/2543 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต สำเนาให้จำเลย ไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งหรือคัดค้านให้เห็นเป็นอย่างอื่นย่อมถือได้ว่า จำเลยรับในข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 5924/2543 ของศาลชั้นต้นตามที่โจทก์อ้างมาในคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องแล้ว เพราะเป็นข้อเท็จจริงเดียวกันกับที่จำเลยเคยรับข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวมาแล้วซึ่งต่อมาเป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4738/2544 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะนับโทษจำเลยต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4738/2544 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9525/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อสันนิษฐานเรื่องลิขสิทธิ์และการพิสูจน์เจ้าของลิขสิทธิ์ในคดีละเมิดลิขสิทธิ์ โดยจำเลยไม่โต้แย้งสิทธิ
คดีเกี่ยวกับลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดงตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า งานที่มีการฟ้องร้องในคดีนั้นเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง
ผู้เสียหายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง การที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยถือว่าเป็น การฟ้องคดีแทนผู้เสียหาย จึงต้องถือว่าผู้เสียหายได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 62 เช่นเดียวกับที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์
จำเลยปฏิเสธฟ้องโจทก์แต่เพียงว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดเท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ให้การหรือนำสืบโต้แย้งว่า ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานดนตรีกรรมตามฟ้อง หรือโต้แย้งสิทธิของผู้เสียหายในงานดังกล่าวมาโดยชัดแจ้ง ผู้เสียหายย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ว่า งานดนตรีกรรมที่มีการฟ้องร้องเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายโดยโจทก์ไม่จำต้องสืบพยานในข้อนี้อีก ดังนั้น ไม่ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาในข้อนี้จะมีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อคดีของโจทก์
งานดนตรีกรรมตามรายชื่อเพลงท้ายฟ้องรวม 22 เพลง เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายและแผ่นซีดีของกลางซึ่งบันทึกงานดนตรีกรรมตามรายชื่อเพลงท้ายฟ้องดังกล่าวเป็นแผ่นซีดีเพลงที่มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย จำเลยได้เสนอขายแผ่นซีดีเพลงวัตถุพยานของกลางซึ่งมีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายให้แก่พนักงานของผู้เสียหายผู้ล่อซื้อและพฤติการณ์ที่มีการวางปกแผ่นซีดีเพลงดังกล่าวในร้านค้าที่เกิดเหตุ ย่อมชี้ให้เห็นได้โดยชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเสนอขายแผ่นซีดีเพลงตามแผ่นปกดังกล่าวมาแต่ต้นแล้ว กรณีนี้ถือไม่ได้ว่า พนักงานของผู้เสียหายเป็นผู้ก่อให้จำเลยกระทำความผิด
ผู้เสียหายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง การที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยถือว่าเป็น การฟ้องคดีแทนผู้เสียหาย จึงต้องถือว่าผู้เสียหายได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 62 เช่นเดียวกับที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์
จำเลยปฏิเสธฟ้องโจทก์แต่เพียงว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดเท่านั้น เมื่อจำเลยไม่ให้การหรือนำสืบโต้แย้งว่า ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานดนตรีกรรมตามฟ้อง หรือโต้แย้งสิทธิของผู้เสียหายในงานดังกล่าวมาโดยชัดแจ้ง ผู้เสียหายย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ว่า งานดนตรีกรรมที่มีการฟ้องร้องเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายโดยโจทก์ไม่จำต้องสืบพยานในข้อนี้อีก ดังนั้น ไม่ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาในข้อนี้จะมีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อคดีของโจทก์
งานดนตรีกรรมตามรายชื่อเพลงท้ายฟ้องรวม 22 เพลง เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายและแผ่นซีดีของกลางซึ่งบันทึกงานดนตรีกรรมตามรายชื่อเพลงท้ายฟ้องดังกล่าวเป็นแผ่นซีดีเพลงที่มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย จำเลยได้เสนอขายแผ่นซีดีเพลงวัตถุพยานของกลางซึ่งมีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายให้แก่พนักงานของผู้เสียหายผู้ล่อซื้อและพฤติการณ์ที่มีการวางปกแผ่นซีดีเพลงดังกล่าวในร้านค้าที่เกิดเหตุ ย่อมชี้ให้เห็นได้โดยชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเสนอขายแผ่นซีดีเพลงตามแผ่นปกดังกล่าวมาแต่ต้นแล้ว กรณีนี้ถือไม่ได้ว่า พนักงานของผู้เสียหายเป็นผู้ก่อให้จำเลยกระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7151/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกกล่าวบังคับจำนอง: แม้เลขโฉนดผิดพลาด แต่หากจำเลยไม่โต้แย้งถือว่าเป็นการบอกกล่าวที่ชอบแล้ว
การบอกกล่าวบังคับจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 728 กฎหมายมิได้บัญญัติบังคับว่าหนังสือบอกกล่าวจะต้องมีรายการอะไรบ้าง เพียงแต่บัญญัติไว้กว้าง ๆ ว่า เมื่อจะบังคับจำนองผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าว หนังสือบอกกล่าวบังคับจำนอง เพียงมีข้อความให้ผู้จำนองเข้าใจได้ว่าถูกบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว ย่อมมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยจำนองที่ดินโฉนดรวม 8 โฉนด พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้เงินกู้ และโจทก์ฟ้องหนี้เงินกู้รายนี้กับขอให้บังคับจำนองที่ดินรวม 8 โฉนด พร้อมแนบสำเนาหนังสือจำนอง และสำเนาหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองท้ายฟ้องด้วย สำเนาหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองท้ายฟ้องนั้นตรงกับสำเนาหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองเอกสารหมาย จ.11 ระบุเลขโฉนดที่ดินจำนองผิดไป คงบอกถูกเพียงฉบับเดียวคือ โฉนดเลขที่ 27641 เท่านั้น แต่อ้างถึงสัญญากู้ที่จำเลยกู้ไปถูกต้อง ชั้นให้การต่อสู้คดีจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การให้เป็นประเด็นแต่ประการใดเลยว่า โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบเพราะเหตุที่ว่ามิได้บอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินที่จำนองไว้อีก 7 แปลง คงสู้แต่เหตุอื่นคือ ผู้ลงนามในหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนอง ไม่มีอำนาจลงนามแทนโจทก์ เพราะไม่ได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากโจทก์ให้มีอำนาจทำหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองตามกฎหมายแทนโจทก์ ถือว่าโจทก์ยังมิได้มีการบังคับจำนอง แสดงว่าจำเลยเข้าใจได้ดีว่าโจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินโฉนดที่จำนองไว้ หนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองจึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ถือว่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินแปลงอื่นอีก 7 แปลง ที่จำนองไว้ รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 27641 โจทก์ย่อมบังคับจำนองเอากับที่ดินที่จำนองไว้อีก 7 แปลงได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยจำนองที่ดินโฉนดรวม 8 โฉนด พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้เงินกู้ และโจทก์ฟ้องหนี้เงินกู้รายนี้กับขอให้บังคับจำนองที่ดินรวม 8 โฉนด พร้อมแนบสำเนาหนังสือจำนอง และสำเนาหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองท้ายฟ้องด้วย สำเนาหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองท้ายฟ้องนั้นตรงกับสำเนาหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองเอกสารหมาย จ.11 ระบุเลขโฉนดที่ดินจำนองผิดไป คงบอกถูกเพียงฉบับเดียวคือ โฉนดเลขที่ 27641 เท่านั้น แต่อ้างถึงสัญญากู้ที่จำเลยกู้ไปถูกต้อง ชั้นให้การต่อสู้คดีจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การให้เป็นประเด็นแต่ประการใดเลยว่า โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบเพราะเหตุที่ว่ามิได้บอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินที่จำนองไว้อีก 7 แปลง คงสู้แต่เหตุอื่นคือ ผู้ลงนามในหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนอง ไม่มีอำนาจลงนามแทนโจทก์ เพราะไม่ได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากโจทก์ให้มีอำนาจทำหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองตามกฎหมายแทนโจทก์ ถือว่าโจทก์ยังมิได้มีการบังคับจำนอง แสดงว่าจำเลยเข้าใจได้ดีว่าโจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินโฉนดที่จำนองไว้ หนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองจึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ถือว่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินแปลงอื่นอีก 7 แปลง ที่จำนองไว้ รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 27641 โจทก์ย่อมบังคับจำนองเอากับที่ดินที่จำนองไว้อีก 7 แปลงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5916/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่โต้แย้งกระบวนการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ทำให้ข้ออุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ในวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยและจำเลยร่วมยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้น ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานศาลนำสำนวนคดีแพ่งมาผูกติดไว้กับสำนวนคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ทนายจำเลยและทนายจำเลยร่วมซึ่งเป็นคนเดียวกันได้แถลงต่อศาลชั้นต้นขอเลื่อนคดีอ้างว่าต้องตรวจสอบเอกสารหลายฉบับในสำนวนคดีแพ่งดังกล่าวซึ่งต้องใช้เวลา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปนัดสืบพยานจำเลยต่อวันที่ 9 ธันวาคม 2542 เมื่อถึงวันนัดสืบพยานจำเลย เจ้าพนักงานศาลมิได้นำสำนวนคดีแพ่งมาผูกไว้ในคดีนี้ จำเลยและจำเลยร่วมทราบแล้วก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน ทั้งยังนำพยานเข้าเบิกความต่อจนเสร็จสิ้นและแถลงติดใจสืบพยานจำเลยเพียงเท่านี้ จนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีในวันที่ 30 ธันวาคม 2542 การที่จำเลยและจำเลยร่วมมิได้โต้แย้งว่าศาลชั้นต้นพิจารณาผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคสอง ดังนั้น ข้อที่ว่าศาลชั้นต้นมิได้สั่งให้เจ้าพนักงานศาลนำสำนวนคดีแพ่งมาผูกติดไว้ทำให้จำเลยและจำเลยร่วมไม่มีโอกาสใช้สำนวนดังกล่าวซักค้านพยานโจทก์เป็นการพิจารณาผิดระเบียบหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5916/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่โต้แย้งกระบวนการพิจารณาที่ผิดระเบียบในศาลชั้นต้น ทำให้ไม่อุทธรณ์ได้ในชั้นอุทธรณ์และฎีกา
ในระหว่างการสืบพยานจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานศาลนำสำนวนคดีแพ่งอีกคดีหนึ่งมาผูกติดไว้กับสำนวนคดีตามที่ทนายจำเลยยื่นคำแถลงขอและอนุญาตให้เลื่อนการพิจารณาออกไปตามที่ทนายจำเลยแถลงขอเวลาในการตรวจสอบสำนวนคดีที่มาผูกติดไว้ เมื่อถึงวันนัดสืบพยานถัดไป เจ้าพนักงานศาลมิได้นำสำนวนคดีแพ่งดังกล่าวมาผูกติดไว้ แต่ทนายจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านทั้งยังนำพยานเข้าเบิกความต่อจนเสร็จสิ้น จนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีต่อมา จากพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยมิได้โต้แย้งว่าศาลชั้นต้นพิจารณาผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสองแต่อย่างใดข้อที่ว่าศาลชั้นต้นพิจารณาผิดระเบียบหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3031/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาที่ไม่ปิดอากรแสตมป์ & การยอมรับข้อเท็จจริงจากคู่ความที่ไม่โต้แย้ง
โจทก์ฟ้องว่าเจ้ามรดกของจำเลยกู้ยืมเงิน จำเลยให้การปฏิเสธว่าสัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอม การจะฟังว่าเจ้ามรดกกู้ยืมเงินโจทก์จริงหรือไม่ต้องอาศัยหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเป็นพยาน เมื่อหนังสือสัญญาที่โจทก์อ้างเป็นพยานติดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วน จึงเป็นตราสารที่ไม่ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ส่วนการที่โจทก์นำพยานบุคคลและพยานเอกสารสืบไปฝ่ายเดียวโดยจำเลยไม่ติดใจซักค้านและนำพยานเข้าสืบหักล้างพยานโจทก์นั้นก็หาใช่ว่าจำเลยยอมรับว่าเจ้ามรดกกู้ยืมเงินโจทก์โดยมีหลักฐานเป็นหนังสือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6981/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นและข้อจำกัดในการขอพิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยและนัดฟังคำพิพากษา จำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งงดสืบพยานดังกล่าวซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 226 จำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่กลับมายื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ ทั้งที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งว่า จำเลยขาดนัดพิจารณาและพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีเพราะเหตุขาดนัด รูปคดีจึงไม่มีทางขอให้พิจารณาใหม่ได้ไม่ว่าศาลฎีกาจะวินิจฉัยข้อกฎหมายของจำเลยเป็นประการใดก็ตาม คดีของจำเลยย่อมจะไม่มีทางขอให้พิจารณาใหม่ได้เช่นเดิม ฎีกาของจำเลยเช่นนี้ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3936/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังสำเนาเอกสารเป็นหลักฐาน: การไม่โต้แย้งถือเป็นการยอมรับ
จำเลยมิได้ดำเนินการโต้แย้งความถูกต้องของสำเนาเอกสารก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาตามขั้นตอนที่พึงปฏิบัติที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 วรรคสามและวรรคสี่กำหนดไว้ ถือได้ว่าเป็นการตกลงรับรอง ความถูกต้องแห่งสำเนาเอกสารดังกล่าว และผู้อ้างไม่จำต้องส่งต้นฉบับเอกสาร อีกตามมาตรา 93(1) สำเนาเอกสารนั้นย่อมรับฟังได้เสมอกับต้นฉบับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4241/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์: การจำเลยคัดลอกข้อความจากคำอุทธรณ์โดยไม่โต้แย้งเหตุผล
เนื้อหาของฎีกาจำเลยล้วนเป็นการโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นทั้งสิ้น โดยจำเลยคัดข้อความมาจากคำอุทธรณ์ทั้งหมด แม้คำขอท้ายฎีกาจะเป็นการขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่ฎีกาของจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ชอบอย่างไร จำเลยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เพราะเหตุใด จึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 216