พบผลลัพธ์ทั้งหมด 180 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7305/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีไม้แปรรูปและไม้ยังไม่แปรรูปไว้ในครอบครองถือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน แม้ไม้จะมาจากต้นเดียวกัน
จำเลยฎีกาข้อกฎหมายว่า จำเลยตัดไม้ยางแล้วทอนเป็นท่อน ไม้ยางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นไม้ที่ได้มาจากการที่จำเลยทำไม้หลังจากนั้นจำเลยแปรรูปไม้ดังกล่าวโดยเลื่อยตัดให้เป็นท่อนซึ่งเป็นการกระทำแก่ไม้ยางต้น จึงน่าจะเป็นฟ้องซ้ำในส่วนการครอบครองไม้ที่แปรรูป ทำนองว่าการกระทำของจำเลยในความผิดฐานมีไม้ยางแปรรูปไว้ในครอบครองกับความผิดฐานมีไม้ยางอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง เป็นกรรมเดียวกันนั้น แม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในชั้นอุทธรณ์ว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทแต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยจึงยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ลักษณะของความผิดในข้อหามีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีไม้อันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแตกต่างแยกจากกันได้ แม้ไม้หวงห้ามที่จำเลยมีไว้ในครอบครองจะตัดมาจากต้นเดียวกันและเป็นจำนวนเดียวกันก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ลักษณะของความผิดในข้อหามีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีไม้อันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแตกต่างแยกจากกันได้ แม้ไม้หวงห้ามที่จำเลยมีไว้ในครอบครองจะตัดมาจากต้นเดียวกันและเป็นจำนวนเดียวกันก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4540/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหลายกรรมต่างกันจากการทำไม้, ครอบครองไม้หวงห้าม และช่วยซ่อนเร้นของหลีกเลี่ยงอากร
การทำไม้เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 11 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 73 วรรคสอง (2) และการมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 69 วรรคสอง (2) ส่วนการช่วยซ่อนเร้นหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งของอันตนรู้ว่านำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้าม ข้อจำกัด เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ มาตรา 27 ทวิ ลักษณะของความผิดในแต่ละข้อหาอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแตกต่างแยกจากกันได้แม้ไม้หวงห้ามที่จำเลยที่ 1 ร่วมกันทำไม้และมีไว้ในครอบครองจะเป็นจำนวนเดียวกันก็ตามการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
พ.ร.บ.ศุลกากรฯ มาตรา 27 ทวิ กำหนดโทษปรับไว้เป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรแล้ว ไม่ใช่สี่เท่าของค่าอากร ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 นำราคาเลื่อยยนต์ของกลางมารวมคำนวณกับค่าอากร จึงต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมายแล้ว
พ.ร.บ.ศุลกากรฯ มาตรา 27 ทวิ กำหนดโทษปรับไว้เป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรแล้ว ไม่ใช่สี่เท่าของค่าอากร ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 นำราคาเลื่อยยนต์ของกลางมารวมคำนวณกับค่าอากร จึงต้องด้วยบทบัญญัติของกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 52/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดร่วมกันแปรรูปไม้หวงห้าม และบทบาทของผู้ช่วยกระทำความผิด ศาลฎีกาวินิจฉัยความผิดและลดโทษ
การที่จำเลยที่ 2 ช่วยปัดขี้เลื่อยให้จำเลยที่ 3 ในขณะที่จำเลยที่ 3 ใช้เครื่องเลื่อยยนต์แปรรูปไม้ยางของกลางนั้น ย่อมเป็นการแบ่งหน้าที่กับจำเลยที่ 3 ในการร่วมกันแปรรูปไม้ เป็นการร่วมกันในการกระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5350/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำไม้หวงห้าม: การคัดสำเนา พรบ.ป่าไม้ ไม่ใช่องค์ประกอบความผิด
การคัดสำเนา พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามฯ ไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 5 นั้น ไม่ใช่องค์ประกอบความผิดข้อหาทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต หากแต่เป็นเพียงวิธีการให้พนักงานเจ้าหน้าที่กระทำเพื่อมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดโต้แย้งว่ายังไม่ทราบพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเท่านั้น โจทก์จึงไม่จำต้องบรรยายเรื่องการคัดสำเนา พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้ามฯ มาในฟ้องด้วย ทั้งการที่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องและนำสืบเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้ ก็หามีผลทำให้จำเลยทั้งห้าไม่ทราบว่าไม้ของกลางเป็นไม้หวงห้ามไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7921/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท: การครอบครองไม้แปรรูปต่างชนิดกัน แต่เป็นไม้หวงห้ามประเภทเดียวกัน
แม้โจทก์บรรยายแยกฟ้องว่าจำเลยครอบครองไม้สักแปรรูปจำนวนหนึ่งออกต่างหากจากการครอบครองไม้ชิงชันแปรรูปและไม้มะค่าโมงแปรรูปอีกจำนวนหนึ่งเป็นคนละข้อก็ตาม แต่ไม้ดังกล่าวก็เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติกำหนดไม้หวงห้ามฯ ด้วยกัน ทั้งตามคำบรรยายฟ้องที่ระบุการกระทำผิดของจำเลยก็เป็นกรณีที่จำเลยครอบครองไม้ทั้งสามชนิดนั้นในคราวเดียวกัน เป็นแต่การครอบครองไม้แปรรูปทั้งสามชนิดนั้นกฎหมายกำหนดอัตราโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 73 แตกต่างกันเท่านั้น การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันเป็นเหตุในลักษณะคดีอันเกี่ยวกับการปรับบทลงโทษจำเลย แม้จำเลยอื่นจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 และ 22
การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันเป็นเหตุในลักษณะคดีอันเกี่ยวกับการปรับบทลงโทษจำเลย แม้จำเลยอื่นจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 และ 22
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5952/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำไม้หวงห้ามและมีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต การพิจารณาองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง และมาตรา 73 วรรคสอง หมายความว่า ผู้กระทำความผิดฐานทำไม้หวงห้ามโดยมิชอบและความผิดฐานมีไว้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตนั้นหากเป็นไม้สัก ไม้ยาง หรือไม้หวงห้ามประเภท ข. ไม่ว่าจำนวนมากน้อยเพียงใดก็มีความผิด หากเป็นไม้ประเภทอื่นจะมีความผิดต่อเมื่อทำไม้หรือมีไม้เป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างรวมกันเกินยี่สิบต้นหรือท่อน หรือรวมปริมาตรไม้เกินสี่ลูกบาศก์เมตร
จำเลยมีไม้แดง ไม้รัง และไม้ประดู่ รวมไม้ทั้งหมด 284 ท่อน ซึ่งเกิน 20 ท่อน และรวมปริมาตรไม้ทั้งสิ้น 6.47 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกิน 4 ลูกบาศก์เมตร เป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ ฯ มาตรา 69 วรรคสอง (2) และมาตรา 73 วรรคสอง (2) แล้ว
จำเลยมีไม้แดง ไม้รัง และไม้ประดู่ รวมไม้ทั้งหมด 284 ท่อน ซึ่งเกิน 20 ท่อน และรวมปริมาตรไม้ทั้งสิ้น 6.47 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเกิน 4 ลูกบาศก์เมตร เป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ ฯ มาตรา 69 วรรคสอง (2) และมาตรา 73 วรรคสอง (2) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1566/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำไม้ในเขตป่าสงวน, ครอบครองไม้หวงห้าม และยึดครองที่ดินในเขตป่าสงวน ถือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ความผิดฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 11, 73 วรรคสอง(2)และ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง กับความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป โดยไม้ดังกล่าวไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายและพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ไม้ดังกล่าวมาโดยชอบด้วยกฎหมายตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69 วรรคสอง ต่างเป็นความผิดสำเร็จในตัวเอง แม้จำเลยกระทำความผิดในวันเดียวกันก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน สำหรับความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 เป็นความผิดสำเร็จทันทีที่จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นความผิดต่างกรรมกันกับความผิดสองกรรมดังกล่าวมาข้างต้น จึงต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ.มาตรา 91
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้ว จึงต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดหาได้ไม่ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15
โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติว่า จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยทำไร่และทำคอกเลี้ยงโค กระบือ เนื้อที่จำนวน 5 ไร่ อันเป็นการทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯ มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง เท่านั้นการที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นมาตรา 31 วรรคหนึ่ง เป็นการไม่ชัดเจนศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้ว จึงต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดหาได้ไม่ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15
โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติว่า จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยทำไร่และทำคอกเลี้ยงโค กระบือ เนื้อที่จำนวน 5 ไร่ อันเป็นการทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯ มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง เท่านั้นการที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นมาตรา 31 วรรคหนึ่ง เป็นการไม่ชัดเจนศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3119/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีไม้หวงห้ามเกิน 20 ท่อน ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ แม้ปริมาตรไม่เกิน 4 ลูกบาศก์เมตร
พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง (2)บัญญัติว่า "ไม้อื่นเป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างรวมกันเกินยี่สิบต้นหรือท่อน หรือรวมปริมาตรไม้เกินสี่ลูกบาศก์เมตร" ย่อมหมายความว่า การมีไว้ในความครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปหากเป็นไม้อื่น ๆ นอกจากไม้สัก ไม้ยาง หรือไม้หวงห้ามประเภท ข. แล้ว จะเป็นความผิดตามมาตรา 69 วรรคสอง (2) ได้ก็ต่อเมื่อ ปริมาณไม้อื่น ๆ เป็นต้นหรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างรวมกันแล้วเกิน 20 ต้น หรือท่อนก็ได้ หรือรวมกันแล้วมีปริมาตรไม้เกิน 4 ลูกบาศก์เมตร ก็ได้ เมื่อจำเลยมีไม้ประดู่ 47 ท่อน ไม้มะค่าโมง 47 ท่อนรวม 94 ท่อน จึงถือได้ว่าจำเลยมีไม้อื่น ๆ เป็นท่อนรวมกันแล้วเกิน 20 ท่อน การกระทำของจำเลยย่อมครบถ้วนองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 69 วรรคสอง (2) แม้ว่าไม้ท่อน ดังกล่าวเมื่อรวมกันแล้วมีปริมาตรไม้ไม่เกิน4 ลูกบาศก์เมตรก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2650/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิด พ.ร.บ.ป่าไม้: ครอบครอง/แปรรูปไม้หวงห้ามในเขตควบคุม แม้รับสารภาพเฉพาะบางข้อหา ศาลใช้ประโยชน์จากคำรับสารภาพทั้งหมดได้
คำว่า "ครอบครอง" ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484หมายความรวมถึงครอบครองเพื่อตนเองและครอบครองแทนผู้อื่นด้วย เพราะไม่มีบทกฎหมายใดจำกัดว่าต้องเป็นการครอบครองเพื่อตนเองเท่านั้นจึงจะเป็นความผิดอีกทั้งในทางอาญา การร่วมกันครอบครองไม้หวงห้ามก็เป็นความผิดเช่นเดียวกันดังนั้นการที่จำเลยครอบครองไม้ยูงซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก.เพื่อแปรรูปให้ผู้ว่าจ้างจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
เดิมจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทุกข้อหา ก่อนสืบพยานโจทก์จำเลยขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธฟ้องโจทก์ทุกข้อหา เป็นขอให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกับพวกแปรรูปไม้ยูงโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นคงให้การปฏิเสธเมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้กล่าวในฟ้องตอนต้นแล้วว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร-และสหกรณ์ได้ออกประกาศให้กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัด โดยประกาศดังกล่าวทางราชการได้คัดสำเนาประกาศไว้ ณ ที่ว่าการ-อำเภอ ที่ทำการกำนัน และที่สาธารณสถานในท้องที่ที่เกี่ยวข้อง และในท้องที่ที่เกิดเหตุคดีนี้ให้ทราบโดยทั่วกัน และกล่าวในฟ้องต่อไปว่า จำเลยกับพวกร่วมกันแปรรูปไม้ยูงโดยร่วมกันเลื่อยเพื่อเปิดปีกไม้อันเป็นการทำให้ไม้เปลี่ยนรูปและขนาดไปจากเดิมภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงาน-เจ้าหน้าที่ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกับพวกแปรรูปไม้ยูงโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้อง ย่อมเป็นการรับสารภาพตามข้อความที่โจทก์กล่าวในฟ้อง คำให้การรับสารภาพของจำเลยจึงรวมถึงการแปรรูปไม้ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้และรวมถึงการคัดสำเนาประกาศไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอและที่ทำการกำนันหรือที่สาธารณสถานในท้องที่ที่เกี่ยวข้องและในท้องที่ที่เกิดเหตุคดีนี้ด้วย โจทก์จึงไม่จำต้องสืบพยานถึงการปิดสำเนาประกาศดังกล่าว
ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 48 วรรคหนึ่ง,73 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองแสนบาท เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานในข้อหาความผิดนี้ได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 176 วรรคหนึ่ง
เดิมจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทุกข้อหา ก่อนสืบพยานโจทก์จำเลยขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธฟ้องโจทก์ทุกข้อหา เป็นขอให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกับพวกแปรรูปไม้ยูงโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นคงให้การปฏิเสธเมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้กล่าวในฟ้องตอนต้นแล้วว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร-และสหกรณ์ได้ออกประกาศให้กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัด โดยประกาศดังกล่าวทางราชการได้คัดสำเนาประกาศไว้ ณ ที่ว่าการ-อำเภอ ที่ทำการกำนัน และที่สาธารณสถานในท้องที่ที่เกี่ยวข้อง และในท้องที่ที่เกิดเหตุคดีนี้ให้ทราบโดยทั่วกัน และกล่าวในฟ้องต่อไปว่า จำเลยกับพวกร่วมกันแปรรูปไม้ยูงโดยร่วมกันเลื่อยเพื่อเปิดปีกไม้อันเป็นการทำให้ไม้เปลี่ยนรูปและขนาดไปจากเดิมภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงาน-เจ้าหน้าที่ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกับพวกแปรรูปไม้ยูงโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้อง ย่อมเป็นการรับสารภาพตามข้อความที่โจทก์กล่าวในฟ้อง คำให้การรับสารภาพของจำเลยจึงรวมถึงการแปรรูปไม้ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้และรวมถึงการคัดสำเนาประกาศไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอและที่ทำการกำนันหรือที่สาธารณสถานในท้องที่ที่เกี่ยวข้องและในท้องที่ที่เกิดเหตุคดีนี้ด้วย โจทก์จึงไม่จำต้องสืบพยานถึงการปิดสำเนาประกาศดังกล่าว
ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 48 วรรคหนึ่ง,73 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองแสนบาท เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานในข้อหาความผิดนี้ได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 176 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2650/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองไม้หวงห้ามเพื่อแปรรูปให้ผู้อื่นถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ การรับสารภาพรวมถึงการแปรรูปในเขตควบคุม
คำว่า "ครอบครอง" ตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 หมายความรวมถึงครอบครองเพื่อตนเองและครอบครองแทนผู้อื่นด้วย เพราะไม่มีบทกฎหมายใดจำกัดว่าต้องเป็นการครอบครองเพื่อตนเองเท่านั้นจึงจะเป็นความผิดอีกทั้งในทางอาญา การร่วมกันครอบครองไม้หวงห้ามก็เป็นความผิดเช่นเดียวกันดังนั้นการที่จำเลยครอบครองไม้ยูง ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. เพื่อแปรรูปให้ผู้ว่าจ้างจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ เดิมจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทุกข้อหา ก่อนสืบพยานโจทก์จำเลยขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธฟ้องโจทก์ทุกข้อหา เป็นขอให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกับพวกแปรรูปไม้ยูงโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นคงให้การปฏิเสธเมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้กล่าวในฟ้องตอนต้นแล้วว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกประกาศให้กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัด โดยประกาศดังกล่าวทางราชการได้คัดสำเนาประกาศไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการกำนันและที่สาธารณสถานในท้องที่ที่เกี่ยวข้อง และในท้องที่ที่เกิดเหตุคดีนี้ให้ทราบโดยทั่วกัน และกล่าวในฟ้องต่อไปว่า จำเลยกับพวกร่วมกันแปรรูปไม้ยูงโดยร่วมกันเลื่อยเพื่อ เปิดปักไม้อันเป็นการทำให้ไม้เปลี่ยนรูปและขนาดไปจากเดิม ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ โดยไม่ได้รับอนุญาต จากพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ในข้อหาร่วมกับพวกแปรรูปไม้ยูงโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้อง ย่อมเป็นการรับสารภาพตามข้อความที่โจทก์กล่าวในฟ้อง คำให้การรับสารภาพของจำเลยจึงรวมถึงการแปรรูปไม้ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้และรวมถึงการคัดสำเนาประกาศไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอและที่ทำการกำนันหรือที่สาธารณสถานในท้องที่ที่เกี่ยวข้องและในท้องที่ที่เกิดเหตุคดีนี้ด้วย โจทก์จึงไม่จำต้องสืบพยานถึงการปิดสำเนาประกาศดังกล่าว ความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 48 วรรคหนึ่ง,73 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ห้าพ้นบาทถึงสองแสนบาท เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานในข้อหาความผิดนี้ได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง