โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่านา ๑๓๓ ไร่เศษ จากนายประสพมีกำหนด ๓ ปี โจทก์เอานาดังกล่าว ๔๕ ไร่ ทำสัญญาเข้าหุ้นส่วนกับจำเลย ๆ เป็นผู้ลงแรงและอุปกรณ์ทำนา สัญญากันว่าจำเลยจะต้องเอาข้าวเปลือกนาสวนให้โจทก์๓๑๕ ถังหลวง จำเลยทำนาได้ผลแล้ว ไม่แบ่งข้าวให้โจทก์ จึงขอให้ศาลบังคับ จำเลยให้การว่า โจทก์ผิดสัญญา นายประสพบอกเลิกสัญญากับโจทก์แต่ปี ๒๔๘๘ เมื่อเดือนตุลาคม ๒๔๘๙ โจทก์จะให้จำเลยทำสัญญาเช่านาคิดค่าเช่าไร่ละ ๕ ถังข้าวเปลือก แต่โจทก์ป่วยเขียนสัญญาไม่ได้ จึงให้จำเลยเซ็นชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญาเช่านา จึงเข้าใจว่าโจทก์คงแก้แบบสัญญาเช่าแปลงเป็นหุ้นส่วนโดยสุจริต นายประสพสั่งให้จำเลยจ่ายค่าเช่าให้แก่เขาและจำเลยได้ชำระค่าเช่าให้แก่นายประสพเสร็จไปแล้ว โจทก์จะมาฟ้องเรียกค่าเช่าจากจำเลยอีกไม่ได้ ก่อนการพิจารณาโจทก์ได้ส่งสัญญาเช่าหุ้นส่วนเป็นพยาน จำเลยรับว่าได้เซ็นชื่อไว้จริงแต่เข้าใจว่าเป็นสัญญาเช่า และคู่ความรับกันบางประการ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยาน วินิจฉัยว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาเช่านากันโดยตรงเมื่อจำเลยทำนาได้ผลแล้ว มีหน้าที่ต้องส่งข้าว จึงพิพากษาให้จำเลยชำระข้าวเปลือกให้แก่โจทก์ตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อหาและคำให้การ คู่ความโต้เถียงกันในข้อเท็จจริง โจทก์ว่าทำสัญญาเข้าหุ้นส่วน จำเลยย่อมคิดผลประโยชน์ให้แก่โจทก์ไร่ละ ๗ ถัง จำเลยเถียงว่า จำเลยตั้งใจทำสัญญาเช่า ค่าเช่าไร่ละ ๕ ถัง แต่โจทก์ไปกรอกเอาเองเป็น ๗ ถัง ดังนี้ เป็นเรื่องที่คู่ความต้องสืบต่อไป และโจทก์ฟ้องว่าโจทก์เช่านาจากนายประสพ จำเลยต่อสู้ว่า นายประสพได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้ว ถ้าความข้อนี้ฟังได้ ก็คงเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้เอานาให้จำเลยทำ ซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้ง ๒ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณา แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ