คดีได้ความว่า จำเลยเคยฟ้องโจทก์ตามคดีแดงที่ 198/2497 หาว่าบุกรุกที่นาพิพาทซึ่งเป็นที่มือเปล่า ขอให้ห้ามมิให้เกี่ยวข้องโจทก์ให้การว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ ในระหว่างพิจารณา โจทก์ร้องว่าจำเลยขัดขวางมิให้โจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่พิพาท ศาลสั่งให้ประมูลค่าเช่านาพิพาทเฉพาะปีนั้น คือ พ.ศ. 2496 จำเลยประมูลได้โดยให้ค่าเช่า 1,000 บาท และได้วางเงินค่าเช่าต่อศาล ๆ จึงให้จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่นาพิพาท ใน พ.ศ. 2497 โจทก์ขอให้ประมูลอีกจำเลยว่าปีนี้จำเลยเข้าทำนาแล้ว จึงไม่ติดใจประมูล ศาลสั่งว่าคำขอของโจทก์ คดีนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของจำเลย ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ร้องอีกว่า จำเลยเข้าแย่งทำนาพิพาทขอให้ห้ามจำเลยหรือให้มาตกลงเรื่องผลประโยชน์ในที่นาพิพาท จำเลยรับว่าเข้าทำนาจริง และไม่ยอมออก คดีนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนและต่อมาศาลฎีกาก็วินิจฉัยว่า ตามหลักฐานพยานจำเลยยังฟังไม่ได้ว่าที่นาพิพาทเป็นของจำเลย พิพากษายืน ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2500 ฝ่ายโจทก์ไม่ไปศาลศาลสั่งว่าถือว่าโจทก์ได้ฟังแล้ว วันที่ 12 พฤษภาคม 2503 โจทก์ขอคำบังคับให้จำเลยใช้ค่าทนาย วันที่ 10 ตุลาคม 2503 โจทก์ร้องต่อศาลชั้นต้นว่า ศาลฎีกาพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยยังไม่ยอมออกจากที่นาพิพาทขอให้ ขอให้เรียกมาว่ากล่าวให้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล จำเลยแถลงว่าที่นาพิพาทเป็นของจำเลยโดยทางครอบครองปรปักษ์นับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ศาลให้โจทก์ทราบโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อ 20 มีนาคม 2504 โดยกล่าวด้วยว่าในปีต่อมาจำเลยคงทำนาพิพาทโดยอาศัยสิทธิการประมูลค่าเช่าในปีพ.ศ. 2496 บัดนี้ จำเลยไม่ยอมออกไปจากนาพิพาท และไม่ชำระค่าเช่ามา 7 ปี ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยกับบริวาร ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์โดยคิดตามอัตราค่าเช่าที่ประมูลปีละ 1,000 บาท รวม 7,000 บาท
จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยทำนาพิพาทตั้งแต่ พ.ศ. 2497 ถึง 2504 รวม 1 ปี โดยเจตนายึดถือเพื่อตนเอง แม้การทำนาตั้งแต่พ.ศ. 2497 ถึง 15 สิงหาคม 2500 เป็นการครอบครองทรัพย์ระหว่างคดีแต่การทำนาพิพาทตั้งแต่ 16 สิงหาคม 2500 ตลอดถึง พ.ศ. 2504 จำเลยเจตนายึดถือเป็นของตนเอง จำเลยได้สิทธิครอบครองที่นาพิพาทคดีโจทก์ยกอายุความฟ้องเรียกคืน ค่าเสียหาย คดีก็ขาดอายุความหากเรียกได้ ก็เพียงปีเดียว คือสำหรับ พ.ศ. 2503
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีที่จำเลยฟ้องโจทก์หาว่าบุกรุกที่พิพาทนั้น จำเลยแพ้โจทก์ จำเลยจะอ้างอายุความแย่งการครอบครอง1 ปีมาใช้ไม่ได้ เพราะโจทก์มีสิทธิบังคับคดีภายใน 10 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ส่วนค่าเช่าโจทก์มีสิทธิเรียกได้ 1 ปี คือ พ.ศ. 2503 นอกนั้นขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 พิพากษาห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่นาพิพาทต่อไป และให้ใช้ค่าเสียหาย 1,000 บาทแก่โจทก์
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2496 จำเลยเข้าทำนาพิพาทในลักษณะเป็นการยึดถือแทนผู้ชนะคดีในที่สุด ต่อจากวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา แม้จำเลยจะยังคงครอบครองที่นาพิพาทอยู่ ลักษณะการยึดถือแทนโจทก์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปได้ จะยกอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มายันโจทก์ไม่ได้ ผลที่สุดพิพากษายืนและมีผู้พิพากษานายหนึ่งมีความเห็นแย้งว่า ควรพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาจำเลยว่า ในระหว่างการพิจารณาคดีแดงที่198/2497 การครอบครองที่นาพิพาทของจำเลยในระหว่างเป็นความต่อสู้กันอยู่ จะถือว่าจำเลยครอบครองโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนหาได้ไม่การที่จำเลยครอบครองใน พ.ศ. 2496 ก็โดยประมูลทำนาได้ คือ โดยความยินยอมของโจทก์ ค่าเช่าที่วางต่อศาลก็เพื่อให้แก่ผู้ชนะคดีในที่สุด จึงถือได้ว่าจำเลยเข้าครอบครองที่นาพิพาทแทนผู้ชนะคดีในที่สุดนั่นเอง เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลยกฟ้องจำเลย แม้ศาลฎีกาจะไม่ได้ชี้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยก็เถียงไม่ได้ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของนาพิพาท เพราะผลของคำพิพากษาฎีกาย่อมผูกพันจำเลยว่าโจทก์มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย ค่าเช่านาที่จำเลยวางไว้ก็ตกเป็นของโจทก์ในฐานะเป็นเจ้าของที่นาพิพาท
การครอบครองที่นาพิพาทหลังวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วก็เป็นการครอบครองสืบต่อมาจากการครอบครองในระหว่างคดี ต้องถือว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์ผู้ชนะคดีอยู่นั่นเอง จำเลยจะครอบครองช้านานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง เว้นแต่จำเลยจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 แต่ไม่ปรากฏว่า จำเลยได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือครอบครองไปยังโจทก์ หรือมีอำนาจใหม่จากบุคคลภายนอก จึงไม่มีประเด็นให้วินิจฉัย
เมื่อการครอบครองของจำเลยเป็นการครอบครองแทนโจทก์ผู้ชนะคดีจำเลยจะอ้างอายุความการแย่งครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาใช้ยันโจทก์ไม่ได้
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ภายใน 10 ปีนั้น เห็นว่า การที่จำเลยเข้าทำนาพิพาทใน พ.ศ. 2497 โดยไม่ยอมประมูลค่าเช่าอีก ย่อมแสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะทำนาพิพาทโดยตกลงประมูลค่าเช่ากับโจทก์อีก การทำนาพิพาทตั้งแต่ พ.ศ. 2497 เป็นต้นมาจึงไม่ใช่เนื่องจากสัญญา และไม่เป็นการละเมิด เพราะจำเลยเข้าครอบครองด้วยความยินยอมของโจทก์มาแต่ พ.ศ. 2496 และการครอบครองในปีต่อ ๆ มา ก็ถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์ผู้ชนะคดีกรณีต้องปรับด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406เพราะการที่จำเลยได้รับประโยชน์จากการเข้าทำนาพิพาทซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นของโจทก์ เป็นการได้ทรัพย์มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้โจทก์จึงมีสิทธิเรียกคืนจากจำเลย ซึ่งศาลฎีกาเห็นควรกำหนดให้เท่าค่าเช่าที่โจทก์จำเลยเคยตกลงกัน คือ ปีละ 1,000 บาท
มีปัญหาต่อไปว่า โจทก์จะมีสิทธิเรียกเงินผลประโยชน์ตั้งแต่ พ.ศ. 2497 ถึง พ.ศ. 2503 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวการทำนาแต่ละปี เจ้าของนาก็ย่อมจะรู้ได้ว่า ผู้ทำนาได้รับประโยชน์จากการทำนาเท่าใด ฉะนั้นสิทธิเรียกร้องคืนของโจทก์สำหรับปี พ.ศ. 2497 ถึง พ.ศ. 2502 จึงขาดอายุความ เพราะฟ้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่โจทก์รู้ว่าจำเลยได้รับลาภมิควรได้ไว้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419) โจทก์คงมีสิทธิเรียกเงินผลประโยชน์สำหรับ พ.ศ. 2503 คืนจากจำเลยเพียงปีเดียว
พิพากษายืน