คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๒๔ โจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมโดยสั่งคืนค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ ๑๕,๐๐๐ บาท
วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๒๔ โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลสั่งคืนศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต โจทก์ยังมิได้รับเงินดังกล่าวคืนไป ต่อมาวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๓ โจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินดังกล่าวคืนอีก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งอนุญาตไปแล้วเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔ แต่โจทก์มิได้รับเงินคืนไป จึงเป็นเงินค้างจ่ายที่โจทก์มิได้เรียกเอาภายใน ๕ ปี ตกเป็นของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒๓ แล้ว จึงไม่อนุญาต
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้คืนค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ ๑๕,๐๐๐ บาท ครั้นวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๒๔ โจทก์แถลงขอรับเงินดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตแล้ว แต่โจทก์ไม่มารับ แสดงว่าเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้คืนแก่โจทก์ยังค้างจ่ายอยู่ในศาล เมื่อโจทก์เพิ่งมาแถลงขอรับเงินดังกล่าวในวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๓๓ ซึ่งพ้นกำหนด ๕ ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้โจทก์รับไปเงินดังกล่าวจึงตกเป็นของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒๓
พิพากษายืน.