โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ ๒๕ มีนาคม ๒๕๐๗ เวลากลางวัน จำเลยบังอาจกล่าวคำดูหมิ่นนางประยูร กลับพะนันด้วยการโฆษณา โดยจำเลยกล่าวต่อเด็กหญิงเวียน เพชรแสง เด็กรับใช้ในบ้านนางประยูรว่า "ให้ไปบอก อ้ายเหี้ย อีเหี้ย นายของมึงสองคน อย่ามาว่าอะไรกูมากนัก ประเดี๋ยวกูทนไม่ได้จะเอาเรื่องอีก" เหตุเกิดตำบลบ้านช่างหล่อ อำเภอบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๓
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่จำเลยกล่าวถ้อยคำดังที่โจทก์ฟ้องต่อเด็กหญิงเวียนนั้น ไม่ใช่เป็นการโฆษณาเพราะกล่าวต่อหน้าบุคคลคนเดียวและถ้อยคำที่กล่าวเป็นเพียงคำไม่สุภาพ จำเลยไม่ผิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓ บัญญัติว่า "ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษฯ" และคำว่า "โฆษณา" ตามพจนานุกรมหมายความว่า การป่าวร้อง จึงแสดงให้เห็นว่า การดูหมิ่นด้วยการโฆษณาตามมาตรา ๓๙๓ นี้มีความหมายถึงการดูหมิ่นในลักษณะให้รู้กันหลาย ๆ คน ไม่ใช่พูดกันตัวต่อตัว จริงอยู่การฟ้องหาว่า ดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา ไม่จำต้องบรรยายว่าจำเลยกล่าวคำดูหมิ่นต่อหน้าบุคคลรวมทั้งสิ้นกี่คน และเป็นใครบ้างโดยละเอียดดังฎีกาโจทก์ เพียงแต่บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลมาให้เห็นหรือเข้าใจได้ว่า จำเลยดูหมิ่นผู้อื่นต่อบุคคลหลายคน อันเข้าในลักษณการโฆษณาก็พอแล้ว ในฟ้องโจทก์ แม้จะกล่าวว่าจำเลยกล่าวคำดูหมิ่นผู้เสียหายด้วยการโฆษณามาด้วยก็ตาม นั่นเป็นเพียงกล่าวถึงฐานความผิดที่โจทก์กล่าวหาตามความเข้าใจของโจทก์เท่านั้น โจทก์จำต้องบรรยายรายละเอียดแห่งการกระทำของจำเลยที่อ้างว่าเป็นความผิด ในฐานที่กล่าวหานั้นด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘(๕) ่แต่ตามฟ้องโจทก์บรรยายมาเพียงว่า จำเลยได้กล่าวคำดูหมิ่นผู้เสียหายต่อเด็กหญิงเวียน เป็นการสั่งฝากไปบอกผู้เสียหายในลักษณะพูดกันตัวต่อตัว
โดยไม่ปรากฎว่าจำเลยได้กล่าวต่อบุคคลอื่นอีกเช่นนี้ จะให้เข้าใจเลยไปว่าจำเลยยังกล่าวต่อบุคคลอื่นอีกด้วยไม่ได้ ไม่มีทางให้เห็นหรือเข้าใจว่าจำเลยกล่าวคำดูหมิ่นผู้เสียหายต่อบุคคลหลายคน จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ในความผิดฐานดูหมิ่นด้วยการโฆษณา แม้จำเลยจะรับสารภาพ ก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
พิพากษายืน