โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 289, 83 และริบของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น นายสีจันทร์ เพียรสร้าง ร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ริบไม้ของกลาง โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา289(4) จำเลยอายุไม่เกินสิบเจ็ดปี ลดมาตราส่วนโทษลงกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ประกอบด้วยมาตรา 52(2) ให้จำคุก50 ปี ไม้ของกลางริบ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีฟังได้ในเบื้องต้นว่า ผู้ตายได้ถูกทำร้ายถึงแก่ความตายในคืนเกิดเหตุ ปัญหามีว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายตามฟ้องหรือไม่ โจทก์ร่วมเบิกความว่า ผู้ตายได้ระบุชื่อจำเลยกับพวกอีก 2 คนชื่อนายแหล่กับนายงอไม่ทราบนามสกุลเป็นผู้ร่วมกันทำร้ายผู้ตายโดยระบุในขณะที่ผู้ตายรู้ตัวว่าใกล้จะตายทั้งยังมีพยานโจทก์และโจทก์ร่วมปากอื่นคือ นายมี ชูศรียิ่งนายประสงค์ ชูศรียิ่ง นางบุญล้วน เพิ่มสิน เบิกความรับรองว่าผู้ตายระบุชื่อจำเลยกับพวก 2 คนในขณะที่ผู้ตายอาการเพียบหนักแจ้งว่าจำเลยกับพวกทั้งสองเป็นคนทำร้าย โดยเฉพาะนางบุญล้วนเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยบ้านบ่อซึ่งดูแลผู้ตายในขณะนั้นก็ยืนยันว่าผู้ตายระบุชื่อจำเลยจริงเมื่อโจทก์ร่วมถามถึงคนร้ายครั้งแรกขณะผู้ตายนอนอยู่บนรถสามล้อหน้าสถานีอนามัยบ้านบ่อ นายมีพยานโจทก์ถามชื่อคนร้ายอีกทีบนรถยนต์ขณะนำผู้ตายส่งโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ และครั้งที่สามโจทก์ร่วมเป็นผู้ถามที่โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ขณะผู้ตายอาการเพียบหนักทุรนทุรายผู้ตายก็คงยืนยันว่าจำเลยกับพวกเป็นผู้ทำร้ายเช่นเดิม ต่อจากนั้นผู้ตายก็พูดไม่ได้แล้ว แสดงว่าผู้ตายกล่าวย้ำยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายในขณะที่ตนเองรู้ตัวว่าใกล้จะตายคำกล่าวของผู้ตายเช่นนี้ย่อมรับฟังเป็นพยานได้ว่าเป็นความจริง โจทก์มีนายทองเย็น หาญอาษา เบิกความว่าในงานศพนางหลี่เห็นผู้ตายทะเลาะกับนายแหล่ เรื่องนายแหล่ไม่ยอมจ่ายเงิน 100 บาทให้ผู้ตาย ที่ผู้ตายแทงไฮโลถูก จำเลยกับนายงอมาช่วยนายแหล่เถียงจำเลยได้พูดด้วยว่าไม่ต้องจ่ายเงินให้มัน ถ้ามันจะเอาก็ฆ่ามันและยังมีนายสมพงษ์ ไชยอำนาจ เบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 21 นาฬิกา พยานถีบรถจักรยานมาถึงซุ้มประตูทางเข้าบ้านแกเห็นมีไม้ไผ่ขวางประตูยาวเกือบเต็มถนนซึ่งกว้างประมาณ 10 เมตรจึงลงจากรถเพื่อจะเอาไม้ไผ่ออก ได้เห็นจำเลย นายแหล่ กับนายงอเดินเข้ามาหาพยานหยุดยืนห่าง 1 เมตรพยานถามจำเลยว่าเอาไม้มาขวางทางทำไม จำเลยไม่ตอบ พยานจึงยกรถจักรยานข้ามไม้ไผ่ไปแล้วถีบรถกลับบ้าน และโจทก์ยังมีนายเบ้า บุญสิงห์สอนเบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 22 นาฬิกา เดินกลับจากบ้านหัวแยกมาตามถนนผ่านมาทางบ้านแก ใกล้จะถึงทางเข้าบ้านแก มีคนถีบรถจักรยานตามหลังมาคันหนึ่งแล้วแซงพยานไปถึงซุ้มประตูทางเข้าบ้านแก ได้ยินเสียงรถจักรยานล้ม แล้วมีเสียงตีกันและเสียงคนร้องว่าช่วยด้วย ๆ ถูกคนฆ่า พยานจึงหลบเข้าพุ่มไม้ริมถนน ต่อมาก็เห็นชายคนที่ถีบจักรยานวิ่งผ่านหน้าไปร้องเอะอะโวยวายด้วย แล้วมีจำเลยนายแหล่กับนายงอวิ่งตามาห่างราว 4-5 วา พยานรู้จักจำเลยกับพวก เพราะคนทั้งสามมาวิ่งรถสามล้อรับจ้างอยู่ที่บ้านบ่อขณะวิ่งไล่จำเลยถือขวาน 1 เล่ม นายงอถือไม้ 1 ท่อน ส่วนนายแหล่ถือมีดขอวิ่งไล่ตามชายนั้นไป พยานเห็นเหตุการณ์ห่างเพียง 4-5 วาเห็นได้จากแสงพระจันทร์วันขึ้น 15 ค่ำ และแสงไฟนีออนจากบ้านบริเวณที่เกิดเหตุประมาณ 4-5 หลัง หลังจากนั้นพยานก็เดินลัดไปบ้านทางบ้านบ่อไม่กล้าเข้าบ้านแก เพราะกลัวถูกทำร้ายเช่นกัน รุ่งขึ้นเวลาประมาณ 8 นาฬิกาจึงทราบข่าวว่าผู้ตายถูกฆ่าตาย พยานเข้าใจว่าต้องเป็นจำเลยกับพวกเป็นผู้ฆ่า ดังนี้เห็นว่าสาเหตุน่าจะเนื่องมาจากผู้ตายหาว่าพวกจำเลยโกงเงินพนันที่ผู้ตายแทงไฮโลถูก ซึ่งจำเลยเองก็นำสืบรับว่าไปในงานศพนางหลี่ในคืนเกิดเหตุจริงและได้ร่วมเล่นไฮโลด้วยเพียงแต่อ้างว่าไม่พบผู้ตายเท่านั้นอันเป็นการเจือสมพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาเชื่อมโยงกันมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันวางแผนฆ่าผู้ตาย โดยมาดักรออยู่ที่ซุ้มประตูทางเข้าหมู่บ้านแก ใช้ลำไม้ไผ่ทอดยาวขวางถนนไว้เมื่อผู้ตายขี่รถจักรยานมาถึง รถล้มลง จึงได้ร่วมกันทำร้ายผู้ตายด้วยขวานมีดและไม้ไผ่ท่อนของกลางซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุ จนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามฟ้อง ที่จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันนั้นก็เป็นเรื่องแตกต่างกันในข้อที่มิใช่สาระสำคัญแห่งคดีซึ่งก็เป็นธรรมดาของการเบิกความที่มีพยานหลายปาก ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าคำเบิกความของนายสมพงษ์พยานโจทก์เป็นพิรุธเพราะการเอาไม้ไปขวางทางต้องทำโดยปกปิดไม่ให้คนอื่นพบเห็น ที่นายสมพงษ์พยานไปพบจึงไม่น่าเชื่อนั้น อาจจะเป็นไปได้ที่พวกจำเลยไม่ทันคิดว่าจะมีคนมาพบก็ได้ การที่พยานไปพบเห็นเข้าไม่ใช่เป็นข้อพิรุธแต่อย่างใด และที่นายเป้าพยานโจทก์ไปพบเห็นการทำร้ายก็มีทางเป็นไปได้เช่นเดียวกัน มิใช่เป็นพิรุธไม่น่าเชื่อดังจำเลยอ้าง ส่วนรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีหมาย ล.1ที่ว่านายประสงค์ไปแจ้งความไม่ได้ระบุชื่อจำเลยก็ดี หรือตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องมีรอยลบคำว่า "ไม่" ออกก็ดี ซึ่งจำเลยฎีกาว่าเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อถือนั้น โจทก์ก็มีร้อยตำรวจโทนครแสงจันทร์ พนักงานสอบสวนมาเบิกความว่า พยานเป็นผู้รับแจ้งความจากนายประสงค์ ชูศรียิ่ง เอง นายประสงค์แจ้งด้วยว่านายเอ้งบ้านแก คือจำเลยนี้เป็นคนทำร้ายและในรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้อง เสมียนพิมพ์ได้พิมพ์ผิดเป็นว่าไม่ทราบชื่อคนร้าย พยานจึงลบคำว่า "ไม่" ออกเสียเพื่อให้ถูกต้องตามความเป็นจริง ซึ่งความข้อนี้นางบุญล้วนพยานโจทก์ก็ได้มาเบิกความรับรองว่าเป็นจริงตามคำเบิกความของร้อยตำรวจโทนคร แสงจันทร์ อันเป็นการยืนยันรับฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน