โจทก์ฟ้องและแก้ไขคฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทรัฐวิสาหกิจมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าการและมีอำนาจกระทำการแทนได้จำเลยที่ 3 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธาน จำเลยที่ 4 ถึงที่ 9ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ ให้ร่วมกับจำเลยที่ 10 ถึงที่ 12ซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่งของคณะกรรมการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (คณะกรรมการ กวท.) มีอำนาจหน้าที่วางนโยบายบริหารงานและควบคุมดูแลโดยทั่วไปและรับผิดชอบซึ่งกิจกาคของจำเลยที่ 1 โจทก์ได้รับบรรจุแต่งตั้งเป็นพนักงาน และต่อมาโจทก์ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีวาระคราวละ 5 ปี รวมสองคราว จนกระทั่งโจทก์ได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการคราวที่ 2 ครบวาระในวันที่ 24 มีนาคม 2533 โจทก์มิได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการต่ออีก และจำเลยที่ 2 ได้รับแต่งตั้งให้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จำเลยที่ 1ถึงที่ 12 ได้ร่วมกันกระทำการอันเป็นละเมิดต่อโจทก์ กล่าวคือจำเลยที่ 2 ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์พ้นสภาพการเป็นพนักงานตั้งแต่วันถัดจากวันที่ครบวาระการเป็นผู้ว่าการเป็นต้นไปโดยมิได้บอกกล่าวการเลิกจ้างล่วงหน้า ในการนี้จำเลยที่ 1 ได้งดจ่ายเงินเดือนประจำเดือนเมษายน 2533 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน การกระทำดังกล่าวขัดแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ซึ่งตกลงให้พนักงานทุกคนพ้นจากสภาพพนักงานได้เฉพาะ 5 กรณีเท่านั้น ซึ่งไม่รวมถึงการพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการโดยการครบตามวาระ นอกจากนั้นมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างว่า ในกรณีที่พนักงานของจำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการให้ได้รับเงินเพิ่มประจำตำแหน่ง โดยให้รวมอัตราเงินเดือนประจำตัวของผู้นั้นในขณะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการกับเงินเพิ่มประจำตำแหน่งแล้วให้เท่ากับอัตราเงินเดือนสูงสุดของผู้ว่าการ และกำหนดไว้ว่าเมื่อผู้นั้นพ้นวาระของตำแหน่งผู้ว่าการแล้วให้รับเงินเดือนในอัตราประจำตัวในขณะที่พ้นวาระ ดังนั้นเมื่อโจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการตามวาระแล้ว โจทก์จึงมีฐานะเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ตำแหน่งรองผู้ว่าการ ซึ่งเป็นตำแหน่งก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการ โดยต้องจ่ายเงินเดือนในอัตราประจำตัวโจทก์ในขณะที่พ้นวาระนอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ได้สั่งไม่อนุมัติให้โจทก์เบิกค่ารักษาพยาบาลใด ๆ ทั้งสิ้น โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องขาดรายได้เงินเดือนที่โจทก์มีสิทธิจะเป็นพนักงานต่อไปจนกระทั่งสิ้นปีงบประมาณที่โจทก์มีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์จึงขาดรายได้ที่ควรได้รับเป็นเงินทั้งสิ้น 1,026,000 บาท การกระทำของจำเลยที่ 1 ในการสั่งงดจ่ายเงินเดือนแก่โจทก์เป็นการจงใจผิดนัดจ่ายค่าจ้างโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร เมื่อถึงกำหนดจ่ายเงินค่าจ้างจำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มแก่โจทก์ เมื่อพ้นระยะเวลา 7 วัน นับแต่วันกำหนดจ่ายอีกด้วย โจทก์ได้รับความเสียหายสำหรับเงินเพิ่มตั้งแต่จำเลยงดจ่ายเงินเดือนให้โจทก์จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,267,098 บาทและได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อยตามวันเวลาที่จำเลยหน่วยเหนี่ยวการจ่ายเงินไว้ทำให้จำนวนงวด 7 วัด เพิ่มขึ้นค่าเสียหายจากเงินเพิ่มรวมทั้งสิ้น 9,219,033 บาท และทุก ๆ 7 วันจะมีเงินเพิ่มคงที่งวด 7 วันละ 153,090 บาท ต่อไปจนกว่าจำเลยจะได้ร่วมกันชำระให้โจทก์จนครบถ้วน การกระทำของจำเลยในการงดจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้โจทก์ทำให้โจทก์ขาดสิทธิที่ควรได้ โจทก์ขอเหมาจ่ายค่าเสียหายส่วนนี้ในอัตราเดือนละ 500 บาท สำหรับระยะเวลา30 เดือน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 15,000 บาท หากจำเลยยังคงหน่วยเหนี่ยวไม่จ่ายเงินเดือน เงินเพิ่มและค่าเสียหายตามฟ้องจนกระทั่งวันที่ 30กันยายน 2535 อันเป็นวันสิ้นปีงบประมาณที่โจทก์มีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แล้ว โจทก์ยังได้รับความเสียหายเพิ่มเติมตามข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ ซึ่งโจทก์มีสิทธิ์ได้รับเงินสงเคราะห์ในกรณีใดกรณีหนึ่งในข้อ 8 คือ การออกจากงานในวันสิ้นปีงบประมาณที่มีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์หรือกรณีสถาบันจำเลยที่ 1 ให้ออกจากงานเพราะยุบเลิกตำแหน่งหรือให้ออกโดยไม่มีความผิด ซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับเงินจากองทุนสงเคราะห์เป็นจำนวนเท่ากับเงินเดือนสุดท้ายคูณด้วยเวลาทำงานสำหรับจำนวนเงินสงเคราะห์ซึ่งโจทก์คิดเป็นเงินสงเคราะห์ 775,320 บาท การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่เกียรติยศและชื่อเสียงเป็นอย่างมากโจทก์ขอเรียกค่าเสียหายต่างหากเป็นเงิน 5 ล้านบาท นอกเหนือจากการให้จำเลยดำเนินการให้ชื่อเสียงโจทก์คืนดีด้วยการโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษหนึ่งฉบับและภาษาไทยสามฉบับอีกต่างหาก จึงขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยที่ให้โจทก์พ้นสภาพพนักงานเป็นโมฆะ ให้จำเลยดำเนินการให้โจทก์เป็นพนักงานระดับวท.11 ต่อไปตามเดิม และบังคับจำเลยให้จ่ายเงินค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์จำนวน 1,002,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีของจำนวนเงินที่ค้างชำระแต่ละเดือน ตั้งแต่วันถึงกำหนดจ่ายของเงินค่าจ้างเดือนนั้น จนกว่าจำเลยจะได้ชำระให้โจทก์ครบถ้วนให้จำเลยจ่ายเงินเพิ่มจำนวน 9,210,933 บาท ให้แก่โจทก์ และหากการจ่ายยังล่าช้าไปจนเกินวันที่ 30 กันยายน 2535 ให้จำเลยจ่ายเงินเพิ่มอีกในอัตรางวดละ 150,390 บาท ทุก ๆ งวด 7 วัน ที่ผ่านไปให้จำเลยจ่ายค่ารักษาพยาบาลจำนวน 15,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันที่ศาลพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์จนครบจำนวน และให้จำเลยจ่ายเงินกองทุนสงเคราะห์ให้โจทก์อีกเป็นเงิน 775,320 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ครบจำนวน ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์อีกจำนวน5 ล้านบาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระครบถ้วน และให้จำเลยชำระค่าโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษหนึ่งฉบับและภาษาไทยอีกสามฉบับเป็นเวลาฉบับละสามวันติดต่อกัน
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 ให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3ถึงที่ 12 เพราะไม่มีฐานะเป็นนายจ้างของโจทก์ อย่างไรก็ตามจำเลยมิได้กระทำการละเมิดต่อโจทก์และมิได้กระทำการขัดกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแต่อย่างใด กล่าวคือ โจทก์เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่การของจำเลยที่ 1 คราวละห้าปีรวมสองคราว เมื่อหมดวาระแล้วโจทก์จึงต้องพ้นจากตำแหน่งตามวาระ เมื่อพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการก็ต้องถือว่าขาดจากการเป็นพนักงานหรือไม่มีสถานภาพการเป็นพนักงานอีกต่อไปตามกฎหมาย โจทก์จะอ้างว่ายังเป็นพนักงานอยู่อีกไม่ได้นอกจากนี้การที่โจทก์ต้องพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการก็เพราะรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการพลังงาน ผู้มีอำนาจแต่งตั้งเห็นว่า โจทก์เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้ว่าการต่อไปอีก โจทก์ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้ว่าการจึงไม่ได้รับการแต่งตั้ง จึงต้องพ้นจากสถานภาพการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินเดือนหรือค่าจ้าง เงินเพิ่มค่ารักษาพยาบาลและค่าเสียหายอื่น ๆ สำหรับเงินกองทุนสงเคราะห์โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเพราะการออกจากงานของโจทก์เป็นการออกตามกฎหมาย มิต้องด้วยกรณีหนึ่งกรณีใดตามข้อบังคับว่าด้วยเงินกองทุนสงเคราะห์ พ.ศ. 2524 ข้อ 8 และหากจำเลยต้องจ่ายเงินสงเคราะห์เนื่องจากโจทก์ทำงานเป็นเวลา 18 ปี และได้รับเงินเดือนสุดท้าย30,060 บาท โจทก์มีสิทธิได้รับเพียง 541,080 บาท เท่านั้น หลังจากพ้นจากตำแหน่งตามวาระแแล้ว เนื่องจากโจทก์เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่การจนครบวาระทั้งสองคราว จำเลยที่ 1 ประสงค์จะจ้างโจทก์ต่อไป แต่จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจว่าจ้างโจทก์โดยพลการได้ ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงการคลังขออนุมัติจ้างโจทก์ในตำแหน่งที่ปรึกษา ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วอนุมัติแต่โจทก์ไม่ยินยอมทำสัญญาจ้างกับจำเลยที่ 1 กลับมาฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ สำหรับเกี่ยวกับค่าเสียหายนั้น จำเลยขอปฏิเสธทั้งสิ้น ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลแรงงานกลางพิพากษายยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องในเรื่องเงินสงเคราะห์ใหม่ภายในกำหนดอายุความ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า "โจทก์อุทธรณ์ในข้อ 4.1 ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ถึงที่ 12 ประเด็นนี้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นนิติบุคคลจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2522 มีผู้ว่าการเป็นผู้แทนและบริหารกิจการ มีคณะกรรมการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยหรือเรียกย่อว่า"กวท." ซึ่งประกอบด้วยประธานกรรมการ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ผู้ว่าการและผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน 6 คน จำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3เป็นประธานกรรมการ กวท. จำเลยที่ 4 ถึงที่ 12 เป็นกรรมการ กวท.พิเคราะห์แล้ว ตามพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 มาตรา 26(1) (2) (5) กำหนดให้ผู้ว่าการมีอำนาจบริหารกิจการของสถาบันให้เป็นไปตามกฎหมายข้อบังคับ และนโยบายที่คณะกรรมการกำหนดและบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างทุกตำแหน่ง รับผิดชอบในการจัดการและดำเนินการของสถาบันตามที่คณะกรรมการมอบหมาย บรรจุ แต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อน ลดหรือตัดเงินเดือนตลอดจนลงโทษพนักงานและลูกจ้าง ทั้งนี้ ตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด แต่ถ้าเป็นพนักงานชั้นรองผู้ว่าการผู้อำนายการฝ่าย ที่ปรึกษา ผู้ชำนาญการหรือเทียบเท่า ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อน ส่วนอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกวท. นั้น มาตรา 14(1) ถึง (6) บัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่วางนโยบายบริหารงานและควบคุมดูแลโดยทั่วไป และรับผิดชอบซึ่งกิจการของสถาบันอำนาจหน้าที่เช่นว่านี้ให้รวมถึงการกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือนค่าจ้าง และเงินอื่นของพนักงานและลูกจ้างและการออกข้อบังคับต่าง ๆด้วย ดังนั้น จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ว่าการของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 เพียงผู้เดียวมีอำนาจในการบริหารกิจการและมีอำนาจบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างทุกตำแหน่ง รวมตลอดถึงมีอำนาจในการบรรจุ แต่งตั้ง ถอดถอน ลงโทษพนักงานและลูกจ้างทุกคนเพียงแต่พนักงานชั้นรองผู้ว่าการ หรือผู้อำนาจการฝ่ายที่ปรึกษาผู้ชำนาญการหรือเทียบเท่าต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อนเท่านั้นจำเลยที่ 2 จึงมีฐานะเป็นนายจ้างของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 3ถึงที่ 12 มีอำนาจในการให้ความเห็นชอบวางนโยบายบริหารงานและควบคุมดูแลโดยทั่วไปและออกข้อบังคับต่าง ๆ เท่านั้น จำเลยที่ 3ถึงที่ 12 ไม่มีอำนาจตกลงรับลูกจ้างเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้และไม่ใช่ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานแทนจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2แต่อย่างใด จำเลยที่ 3 ถึงที่ 12 จึงไม่ใช่นายจ้างของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ถึงที่ 12 ให้ร่วมรับผิดในข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางชอบแล้วอุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
โจทก์อุทธรณ์ข้อ 4.2 ว่า โจทก์ยังไม่ขาดจากสภาพการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ประเด็นนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าเดิมโจทก์เป็นพนักงานของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทย โดยเริ่มทำงานเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2514 ต่อมาสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทยถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522ซึ่งบัญญัติให้โอนบรรดากิจการทรัพย์สิน หนี้สิน รวมทั้งพนักงานและลูกจ้างของสถาบันวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทยไปเป็นของจำเลยที่ 1 โจทก์ได้รับโอนมาเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ตำแหน่งรองผู้ว่าการ ต่อมาโจทก์ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่การของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตำแหน่งมีวาระคราวละ 5 ปีรวมสองคราว เมื่อโจทก์ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการครบวาระที่สองในวันที่ 24 มีนาคม 2533รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการพลังงานมิได้แต่งตั้งโจทก์เป็นผู้ว่าการอีก ขณะพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการวาระที่สองโจทก์มีฐานะเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ระดับ วท.11 ขั้น30,060 บาท ต่อมาจำเลยที่ 2 ในฐานะรักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 ได้มีคำสั่งบริหารเลขที่ คบ.33/106 เรื่องแต่งตั้งที่ปรึกษาประจำปีงบประมาณ 2533 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2533 แต่งตั้งให้โจทก์เป็นที่ปรึกษาพิเศษของจำเลยที่ 1 ได้รับค่าตอบแทนเดือนละ32,000 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม 2533เป็นต้นไป และได้ส่งบันทึกข้อตกลงการจ้างตามเอกสารหมาย จ.28ให้โจทก์ลงนาม โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมลงนามในบันทึกข้อตกลงการจ้างอ้างว่าโจทก์ยังมีฐานะเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ระดับ วท.11 อยู่ตามบันทึกข้อความเอกสารหมาย จ.30 พิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามข้อบังคับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยว่าด้วยการกำหนดตำแหน่ง การบรรจุ แต่งตั้ง เลื่อนขั้นเงินเดือน และการออกจากงานพ.ศ. 2525 เอกสารหมาย จ.10 ข้อ 25 ได้กำหนดเรื่องที่พนักงานของจำเลยต้องออกจากงานไว้ว่า พนักงานออกจากงานเมื่อ 1. ตาย 2. ได้รับอนุมัติให้ลาออก 3. เมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ 4. ถูกสั่งลงโทษให้ออก ปลดออกหรือไล่ออกตามข้อบังคับของสถาบัน 5. รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 ได้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการโดยครบวาระเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2533 มีปัญหาว่า เมื่อโจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการ โจทก์จะต้องขาดจากสภาพการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1หรือไม่เห็นว่าตามข้อบังคับของจำเลยเอกสารหมาย จ.10 ข้อ 4 กำหนดไว้ว่า "พนักงาน" หมายความว่า พนักงานของสถาบันรวมทั้งผู้ว่าการก่อนที่โจทก์ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการ โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ตำแหน่งรองผู้ว่าการ โจทก์จึงมีฐานะเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1มาแต่ต้น เมื่อโจทก์ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการโจทก์ก็เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ระดับ วท.11 ขั้อ 30,060 บาท ตามระเบียบของจำเลยว่าด้วยมาตราฐานกำหนดตำแหน่งของพนักงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2530เอกสารหมาย จ.29 จึงรับฟังได้ว่า ขณะที่โจทก์ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการโจทก์มีฐานะเป็น "พนักงาน" ของจำเลยที่ 1 ตามความหมายในข้อบังคับของจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ.10 ข้อ 4 การที่โจทก์จะต้องออกจากงานหรือพ้นจากการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 จึงต้องบังคับตามข้อบังคับดังกล่าวข้อ 25 เช่นเดียวกับพนักงานทั่วไป เพราะข้อ 25 ไม่ได้กำหนดข้อยกเว้นไม่ใช้บังคับแก่พนักงานที่เป็นผู้ว่การแต่อย่างใดการออกจากงานของโจทก์จึงต้องเกิดขึ้นจากการตาย ลาออกหรืออายุครบ60 ปีบริบูรณ์ หรือถูกสั่งลงโทษให้ออก ปลดออกหรือไล่ออก หรือต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดตามที่กำหนดไว้เท่านั้นส่วนการที่โจทก์ต้องพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการตามวาระตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยพ.ศ. 2522 มาตรา 24 นั้น ย่อมมีผลเพียงแต่ทำให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 เท่านั้น หามีผลทำให้โจทก์พ้นจากการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ไม่ เมื่อโจทก์ยังเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงต้องจ่ายค่าจ้างและค่ารักษาพยาบาลให้แก่โจทก์ปรากฏว่าเมื่อโจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการตามวาระแล้ว จำเลยที่ 1ได้แต่งตั้งโจทก์เป็นที่ปรึกษาและได้แจ้งใด้โจทก์ลงนามในสัญญาจ้างที่ปรึกษา แต่โจทก์ไม่ยอมปฏิบัติตามครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 20พฤศจิกายน 2533 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือถึงโจทก์อีกขอให้โจทก์ลงนามในสัญญาจ้างที่ปรึกษาให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดวันที่ 26 พฤศจิกายน 2533 หากพ้นกำหนดจะถือว่าโจทก์สละสิทธิที่จะรับข้อเสนอดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.20/1 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 9โจทก์ก็ไม่ยอมลงนามในสัญญาจ้างที่ปรึกษา ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ได้เสนอจ้างโจทก์เป็นที่ปรึกษา ก็เพื่อหาตำแหน่งมารองรับฐานะการเป็นพนักงานของโจทก์ตามระเบียบแบบแผนของทางราชการการแต่งตั้งให้โจทก์เป็นที่ปรึกษาตามบบันทึกข้อตกลงการจ้าง เอกสารหมาย จ.28 จำเลยที่ 1 ได้กำหนดระยะเวลาการจ้างตั้งแต่วันที่ 24มีนาคม 2533 เป็นต้นไปต่อเนื่องจากระยะเวลาที่โจทก์พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการและจ่ายเงินเดือนให้โจทก์เดือนละ 32,000 บาท อัตราเงินเดือนสุดท้ายในตำแหน่งผู้ว่าการ เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติตามมติของ กวท. ตามรายการประชุมครั้งที่ 4/2523 เอกสารหมายจ.15 ที่ให้เงินเดือนประจำตัวของผู้ดำรงตำแหน่งนั้นยังคงอยู่และเลื่อนขั้นขึ้นตามปกติ ส่วนการที่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมรับการมีฐานะเป็นพนักงานของโจทก์ต่อไปและกำหนดการจ้างเป็นระยะเวลา 6 เดือนทั้ง ๆ ที่โจทก์ยังไม่ครบเกษียณอายุก็เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กำหนดเป็นพนักงานในตำแหน่งอื่นตามเอกสารหมาย จ.20/1 และ จ.31 หาใช่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1ไม่ปฏิบัติตามมติ กวท. อันเป็นการผิดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามที่โจทก์อุทธรณ์ไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 มีหนังสือตามเอกสารหมายจ.20/1 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 9 สั่งให้โจทก์ลงนามในสัญญาจ้างที่ปรึกษาหากโจทก์ประสงค์จะเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 เพื่อรับเงินเดือนและสวัสดิการต่อไป โจทก์จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ลงนามเข้าเป็นที่ปรึกษาของจำเลยที่ 1 ก่อน หลังจากนั้นเมื่อครบกำหนดการจ้าง 6 เดืนอ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ต่อสัญญาจ้างให้โจทก์ทำงานต่อไปจนครบเกษียณอายุก็ดี ระหว่างทำงานจำเลยที่ 1ไม่ยอมให้สิทธิแก่โจทก์เทียบเท่าฐานะของพนักงานด้วยการไม่เลื่อนขั้นเงินเดือน หรือไม่จ่ายเงินสวัสดิการให้แก่โจทก์ก็ดี โจทก์ก็ชอบที่จะเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 1 ได้ แต่ปรากฏว่า โจทก์ไม่ยอมลงนามในสัญญาจ้างที่ปรึกษาภายในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2533 ตามที่จำเลยที่ 1 กำหนด จึงถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิที่จะทำงานเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ต่อไป มีผลเป็นการลาออกจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1นับแต่พ้นกำหนดวันที่ 26 พฤศจิกายน 2533 เป็นต้นไป โจทก์จึงพ้นจากสภาพการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 นับตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน2533 เป็นต้นไปตามข้อบังคับเอกสารหมาย จ.10 ข้อ 25.2
โจทก์อุทธรณ์ในข้อ 4.3 เรื่องประเด็นอื่นที่ศาลแรงงานกลางยังไม่ได้วินิจฉัย ซึ่งได้แก่กรณีขอให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานเป็นพนักงานระดับ วท.11 ต่อไปตามเดิม ให้โจทก์จ่ายค่าจ้างพร้อมดอกเบี้ยและเงินเพิ่ม ค่ารักษาพยาบาลเงินกองทุนสงเคราะห์และค่าเสียหายศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเหล่านี้ตามข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางได้รับฟังมาแล้ว เห็นว่า เมื่อรับฟังได้ว่าโจทก์ไม่ยอมลงนามตามสัญญาจ้างที่ปรึกษา และมีผลเป็นการลาออกจากการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2533 เป็นต้นไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 รับโจทก์กลับเข้าทำงานเป็นพนักงานอีกและไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 5,000,000 บาทจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ส่วนเงินค่าจ้างค้างที่โจทก์เรียกร้องมาจำนวน9,210,933 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ยังมีสภาพการเป็นพนักงานของจำเลยอยู่จนถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน2533 จำเลยที่ 1 คงจ่ายเงินเดือนให้โจทก์ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2533เท่านั้น จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์นับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2533 จึงถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2533โดยถืออัตราเงินเดือน 30,060 บาท เป็นเกณฑ์ในการคำนวณตั้งแต่เดือนเมษายน 2533 จึงถึงเดือนกันยายน 2533 ให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยต่อไปว่า นับแต่เดือนตุลาคม 2533 จนถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน2533 โจทก์ควรจะมีสิทธิได้รับเงินเดือนในอัตราเดิมหรืออัตรา31,220 บาท ตามที่โจทก์เรียกร้องและโจทก์มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในเงินเดือนที่ค้างจ่ายดังกล่าวหรือไม่ในอัตราใด ส่วนเงินเพิ่มนั้นข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 มิได้จงใจหรือกลั่นแกล้งไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ แต่มีขัดแย้งเกี่ยวกับการว่าจ้างโจทก์เป็นที่ปรึกษาของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มจากจำเลยที่ 1 ส่วนเงินกองทุนสงเคราะห์นั้น จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การปฏิเสธว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเพราะไม่ได้ออกจากงานตามข้อบังคับของจำเลยเอกสารหมาย จ.10 ข้อ 8 หาได้ต่อสู้ว่าโจทก์ยังไม่ได้ร้องขอรับเงินสงเคราะห์จึงไม่มีสิทธิได้รับไม่ เมื่อฟังว่าโจทก์ได้พ้นจากการเป็นพนักงานโดยถือว่าเป็นการลาออกโจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์ ศาลแรงงานกลางจึงต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิได้รับเงินกองทุนสงเคราะห์เท่าใด โดยนับระยะเวลาการทำงานจนถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2533 นอกจากนี้ศาลแรงงานกลางจะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาลและดอกเบี้ยตามฟ้องหรือไม่ อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเกี่ยวกับจำนวนเงินค่าจ้างค้างจ่าย เงินค่ารักษาพยาบาล และดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวโดยถือสิทธิที่เกิดขึ้นระหว่างอายุการทำงานในช่วงต้นเดือนเมษายน2533 ถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2533 รวมทั้งจำนวนเงินกองทุนสงเคราะห์ของโจทก์ด้วย แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.