โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองจำนองโรงเรือนและทรัพย์สินอื่นไว้กับโจทก์เป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พ้นระยะเวลาจำนองแล้ว ค้างดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง ๙๕,๐๐๐ บาท ชำระ ๕,๐๐๐ บาท ไว้ตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๓๒๘/๒๕๐๗ คดีอยู่ระหว่างฎีกา จำเลยจึงคงค้างดอกเบี้ย ๙๐,๐๐๐ บาท โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการบังคับจำนอง ๑๒,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยนำเงิน ๒๙๐,๐๐๐ บาท กับค่าสินไหมทดแทน ๑๒,๐๐๐ บาท ไถ่ถอนจำนอง ให้จำเลยเสียดอกเบี้ยในต้นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะไถ่ถอน ถ้าจำเลยไม่ไถ่ถอนการจำนอง ให้เอาทรัพย์สินจำนองขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๕ จำเลยไปทำสัญญาจะจำนองทรัพย์ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ไว้กับโจทก์ที่อำเภอแต่ยังไม่ได้จดทะเบียน โดยจำเลยขอให้ระงับไว้เพราะโจทก์ยังไม่มีเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท มาให้จำเลย ได้ตกลงกันให้เอาเอกสารต่าง ๆ ที่ทำมาแล้วฝากเจ้าหน้าที่อำเภอไว้ก่อน ครั้นวันรุ่งขึ้นโจทก์เอาเอกสารสัญญาที่ทำกันไว้มาบ้านจำเลยปรากฏว่าสัญญาจำนองได้รับการจดทะเบียนแล้วในวันที่ ๒๕ นั้นเอง โดยโจทก์ไม่ได้นำเงินค่าจำนอง ๒๐๐,๐๐๐ บาท มาให้จำเลย ทรัพย์ตามสัญญาจำนองอันดับ ๒ ถึง ๗ เป็นสังหาริมทรัพย์ซึ่งไม่อาจจำนองได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองนำเงิน ๒๙๐,๐๐๐ บาท ไถ่ถอนการจำนอง ให้จำเลยทั้งสองเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะไถ่ถอนเสร็จ หากไมอาจไถ่ถอนการจำนองได้ ก็ให้เอาทรัพย์จำนองขายทอดตลาดมาชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า ทรัพย์สินตามบัญชีต่อท้ายสัญญาจำนองเลขที่ ๒ ถึงเลขที่ ๗ ไม่ตกอยู่ในข่าวแห่งสัญญาจำนอง จะเอาเงินที่ขายทอดตลาดทรัพยสินส่วนนี้ชำระหนี้ให้โจทก์ก่อนเจ้าหนี้สามัญไม่ได้
โจทก์ฎีกา
ได้ความว่าจำเลยทั้งสองทำสัญญาจำนองทรัพย์ ๘ รายการไว้กับโจทก์ สำหรับทรัพย์หมายเลข ๒ ถึง ๗ เป็นสังหาริมทรัพย์ คือ เครื่องผสมอาหาร เรือยนต์ ๑ ลำ (ไม่ปรากฏระวางบรรทุก) เรือลำเลียงขนาด ๒ ตัน ๑ ลำ เครื่องบดอาหาร รถยนต์บรรทุก ๒ คัน และตู้ฟักไข่ คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาว่าโจทก์จะบังคับจำนองจากสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ได้หรือไม่
คดีได้ความว่า ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๓๒๘/๒๕๐๗ ของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาว่า จำเลยทำสัญญาจำนองไว้กับโจทก์ (สัญญาฉบับเดียวกับที่ฟ้องคดีนี้) ขอให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระเฉพาะ ๒ เดือน ๕,๐๐๐ บาท โดยไม่ได้ฟ้องขอบังคับจำนอง จำเลยให้การในคดีนั้นว่า การจดทะเบียนสัญญาจำนองทำไปโดยจำเลยไม่รู้เห็นด้วย สัญญาจำนองเป็นโมฆะ ทำนองเดียวกับที่ให้การต่อสู้ในคดีนี้ แต่ไม่ได้ยกข้อต่อสู้ว่าทรัพย์หมายเลข ๒ ถึงเลข ๗ จำนองกันไม่ได้ ดังคำให้การในคดีนี้ ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้บังคับจำนองตามสัญญาจำนองฉบับเดียวกับคดีก่อน ศาลชั้นต้นสั่งงดรอคดีนี้ไว้ฟังผลของคดีก่อน ในที่สุดศาลฎีกาพิพากษาคดีก่อนว่า โจทก์จำเลยไปจดทะเบียนนิติกรรมจำนองด้วยกัน การกล่าวอ้างและข้อนำสืบของจำเลยไม่น่าเชื่อฟัง พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ย ๕,๐๐๐ บาท ในปัญหานี้ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีก่อนมีประเด็นตามที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานไว้ว่า ๑. สัญญาจำนองที่เป็นมูลให้เรียกดอกเบี้ยสมบูรณ์หรือไม่ ๒. หากสมบูรณ์จำเลยได้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยหรือไม่ ไม่มีประเด็นไปถึงว่าทรัพย์รายใดจำนองกันได้หรือจำนองกันไม่ได้ตามกฎหมาย เพราะไม่ใช่คดีฟ้องบังคับจำนอง ศาลฎีกาจึงชี้ขาดคดีก่อนเพียงในประเด็นว่า จำเลยได้ทำสัญญาจำนองโดยจดทะเบียนนิติกรรมไว้จริง ศาลฎีกาไม่ได้ชี้ขาดไปถึงว่าทรัพย์ที่ระบุไว้ในสัญญาจำนองรายการใดจำนองกันได้หรือไม่ได้ แต่ในคดีนี้นอกจากจำเลยจะต่อสู้ว่า การจดทะเบียนสัญญาจำนองทำไปโดยจำเลยไม่รู้เห็นด้วยแล้ว จำเลยยังต่อสู้ว่าทรัพย์หมาเลข ๒ ถึงเลข ๗ ไม่เป็นทรัพย์ที่อาจจะจำนองได้ ศาลจึงต้องชี้ขาดในประเด็นนี้อีก หาใช่เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนไม่
สังหาริมทรัพย์หมายเลข ๒ ถึงเลข ๗ ดังกล่าวแล้ว ไม่มีกฎหมายใดให้จดทะเบียนได้เฉพาะการ และไม่เป็นทรัพย์ที่จะจำนองได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๐๓ จึงต้องถือว่าเป็นทรัพย์ที่จำนองไม่ด้
ฎีกาโจทก์อีกข้อหนึ่งมีว่า จำเลยฟ้องอุทธรณ์คัดค้านทรัพย์บางรายการ แต่คำขอท้ายฟ้องอุทธรณ์กลับขอให้ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง เป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า เมื่อคำขอท้ายฟ้องมากเกินกว่าที่จะได้ ศาลก็พิพากษาให้เท่าที่กล่าวในฟ้องได้ หาเป็นฟ้องอุทธรณ์ที่เคลือบคลุมไม่
พิพากษายืน