โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ส่งมอบข้าวเปลือกจำนวน 94,987 กิโลกรัมให้แก่จำเลยเพื่อนำไปสีเป็นข้าวสาร จำเลยส่งข้าวสารไม่ครบ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน 222,461 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน21,483.62 บาท รวมเป็นเงิน 243,944.62 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 243,944.62บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 222,461 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัยไม่สามารถป้องกันได้ โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยคืนข้าวสาร ความเสียหายที่โจทก์ได้รับไม่เกิน 20,000 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ว่าจ้างจำเลยสีข้าวเปลือกเป็นข้าวสารโดยโจทก์ให้ค่าตอบแทนเป็นปลายข้าวและรำข้าว เมื่อสีข้าวเสร็จแล้วจำเลยจะเก็บข้าวสารไว้ที่โรงสีของจำเลยและทยอยส่งให้แก่โจทก์ตามเวลาที่โจทก์กำหนดระหว่างวันที่ 22 มกราคม 2541 ถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2541 โจทก์ส่งมอบข้าวเปลือกแก่จำเลยรวมจำนวน 94,987 กิโลกรัม จำเลยสีเป็นข้าวสารและส่งมอบให้แก่โจทก์แล้ว112 กระสอบ หนัก 11,200 กิโลกรัม ต่อมาเกิดไฟไหม้โรงสีข้าวของจำเลย หลังจากนั้นจำเลยส่งมอบข้าวสารที่เหลือจากไฟไหม้ให้แก่โจทก์อีกคิดเป็นเงิน 73,275 บาท ยังเหลือข้าวสารที่จำเลยไม่ส่งมอบแก่โจทก์คิดเป็นเงิน 222,461 บาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาประการแรกว่า การที่จำเลยส่งมอบข้าวสารไม่ได้เป็นเหตุสุดวิสัยซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดหรือไม่ในประเด็นนี้จำเลยกล่าวอ้างว่า การที่จำเลยส่งมอบข้าวสารไม่ได้เป็นเหตุสุดวิสัย ดังนั้น ภาระการพิสูจน์ในปัญหานี้จึงตกแก่จำเลย โดยจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2541 เวลา 22 นาฬิกา ขณะที่จำเลยกำลังนอนหลับอยู่ที่บ้านได้เกิดไฟไหม้โรงสีจนกระทั่งเวลา 2 นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้นไฟจึงสงบเจ้าพนักงานตำรวจบอกจำเลยว่ากรณีไฟไหม้โรงสีของจำเลยนั้นหาตัวผู้กระทำผิดไม่ได้ขณะเกิดไฟไหม้โรงสีไม่มีข้าวเปลือกคงมีแต่ข้าวสาร การที่โจทก์ส่งมอบข้าวเปลือกของโจทก์ให้จำเลยสีเป็นข้าวสารแล้วส่งคืนข้าวสารแก่โจทก์ โดยโจทก์ให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยเป็นปลายข้าวและรำข้าวถือเป็นสัญญาต่างตอบแทนอย่างหนึ่งซึ่งจำเลยมีหน้าที่ตามสัญญาที่จะต้องนำข้าวเปลือกจำนวนที่ได้รับมอบจากโจทก์อันกำหนดเอาไว้แน่นอนมาดำเนินการสีเป็นข้าวสารแล้วส่งมอบให้แก่โจทก์ เมื่อขณะที่ไฟไหม้โรงสีไม่มีข้าวเปลือกแล้วมีแต่ข้าวสาร ดังนี้แสดงว่าข้าวสารที่จำเลยจะต้องส่งมอบแก่โจทก์นั้นเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งแล้วเมื่อการที่จำเลยไม่สามารถส่งมอบข้าวสารดังกล่าวให้แก่โจทก์ได้เป็นเหตุเนื่องมาจากไฟไหม้โรงสีของจำเลยทำให้ข้าวสารดังกล่าวเสียหาย ทั้งเหตุที่ไฟไหม้ดังกล่าวนั้นได้ความจากคำเบิกความของจำเลยประกอบกับรายงานการสอบสวนว่า ไม่ปรากฏว่าเกิดจากการกระทำของผู้ใด และเจ้าพนักงานตำรวจไม่พบร่องรอยหรือหลักฐานที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้แต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าเหตุที่เกิดไฟไหม้โรงสีนั้นเนื่องมาจากพฤติการณ์ที่จำเลยต้องรับผิดชอบ ดังนั้น การชำระหนี้ของจำเลยด้วยการส่งมอบข้าวสารแก่โจทก์นั้นย่อมกลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์ซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบตามบทบัญญัติมาตรา 219วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่าจำเลยผิดนัดในการส่งมอบข้าวสารและจะต้องรับผิดชอบแม้การชำระหนี้จะกลายเป็นพ้นวิสัยด้วยหรือไม่ โจทก์อ้างว่า ในการส่งข้าวเปลือกไปให้จำเลยนั้นจะทยอยส่งเป็นงวดโดยกำหนดให้จำเลยสีข้าวเปลือกให้เสร็จตามระยะเวลา แต่ตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าเมื่อจำเลยสีข้าวเปลือกเสร็จแล้วจะต้องส่งมอบข้าวสารแก่โจทก์เมื่อใด และทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยส่งมอบข้าวสารที่สีเสร็จแล้วแก่โจทก์เลยด้วยและกลับได้ความจากคำเบิกความของจำเลยว่า ในการส่งข้าวสารคืนโจทก์นั้นต้องรอคำสั่งจากโจทก์ว่าจะให้ส่งไปจำนวนเท่าใด เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้เรียกให้จำเลยส่งมอบข้าวสารแก่โจทก์แล้ว จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดในการส่งมอบข้าวสารแก่โจทก์อันจะต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 217 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้อง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน