โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นบุตรได้เอานาของโจทก์ไปแจ้งการครอบครอง (ส.ค.๑) โจทก์ร้องอำเภอว่ากล่าว จำเลยยอมคืนให้โจทก์ ๆ จึงยอมให้จำเลยครอบครองนาต่อไปโดยโจทก์ยกให้ แต่จำเลยต้องให้ข้าวเปลือกโจทก์ปีละ ๕๐ ถัง กับเมื่อโจทก์ตาย จำเลยต้องออกเงินค่าทำศพอีก ๑,๕๐๐ บาท แต่ยังมิได้จดทะเบียนการให้ ต่อมาจำเลยขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่นา แล้วจำเลยด่าหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง เป็นการเนรคุณ จึงขอให้เพิกถอนหนังสือยอมความยกนาให้จำเลยคืนนาแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ทำสัญญายกนาให้จำเลยๆ จะให้ข้าวเปลือกและค่าทำศพจริง การให้นี้มีค่าภาระติดพัน โจทก์เพิกถอนเพราะเหตุเนรคุณไม่ได้ จำเลยมิได้ประพฤติเนรคุณ
ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความรับกันว่า โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยโดยทำสัญญายอมความที่อำเภอ แต่ไม่ได้จดทะเบียนการให้ ศาลสั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่า สัญญาประนีประนอมที่ทำไว้เป็นแต่สัญญาจะยกให้ ยังไม่ได้จดทะเบียน จึงไม่สมบูรณ์ เป็นโมฆะ โจทก์เรียกนาคืนได้ พิพากษาว่านาพิพาทเป็นของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์สละการครอบครองให้จำเลยและโอนกันได้โดยการส่งมอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๗, ๑๓๗๘ ไม่ต้องจดทะเบียน การยกนาพิพาทดังกล่าวสมบูรณ์แล้วพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าไม่มีหนังสือสำคัญ สัญญาที่คู่ความทำที่อำเภอเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทซึ่งเกิดขึ้น ผลของสัญญานี้ก็คือ โจทก์จำเลยได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๒ ส่วนข้อที่ศาลล่างวินิจฉัยแตกต่างกันมาในข้อที่มิได้จดทะเบียนการโอน จำเลยจะได้สิทธิครอบครองที่พิพาทหรือไม่นั้น ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาโดยที่ประชุมใหญ่แล้ว เห็นว่าคดีนี้เป็นกรณีพิพาทระหว่างผู้โอนและผู้รับโอนหาเกี่ยวถึงสิทธิของบุคคลที่สามไม่ และที่รายพิพาทก็เป็นที่ดินมือเปล่าที่มิใช่มีมาแต่ดั้งเดิมอันจะต้องระลึกถึงกฎหมายเก่าว่าสิทธิของผู้ที่เรียกว่าเป็นเจ้าของเป็นเพียงสิทธิครอบครองหรือสิทธิอะไร หากแต่เป็นที่ดินมือเปล่าตกอยู่ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งสิทธิในที่นี้เป็นแต่เพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น และสิทธิครอบครองนี้ก็มีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๗ และ ๑๓๗๘ บัญญัติไว้ว่า ถ้าผู้มีสิทธิครอบครองส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครองให้แก่ผู้อื่นโดยผู้มีสิทธิครอบครองเจตนาสละและโอนให้แก่ผู้รับแล้ว ผู้รับก็ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองนั้น ซึ่งหาขัดกับมาตรา ๑๒๙๙ วรรคแรกไม่ เพราะในมาตรา๑๒๔๙ นี้เองได้บัญญัติให้มาตรา ๑๒๔๙ วรรคแรกอยู่ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่น ฉะนั้น เมื่อมีมาตรา ๑๓๗๗, ๑๓๗๘ บัญญัติไว้โดยเฉพาะเช่นนี้ การก็ต้องเป็นไปตามนั้น แต่ถ้าผู้โอนและผู้รับโอนประสงค์จะทำการโอนโดยผลของนิติกรรม ไม่ใช่โดยสละและส่งมอบ ก็ต้องทำนิติกรรมให้ถูกต้องตามแบบดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๑๒๙๙ วรรคแรก นิติกรรมจึงจะสมบูรณ์ในอันที่จะโอนสิทธิครอบครองไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การโอนสมบูรณ์โดยไม่ต้องจดทะเบียน จึงเป็นการชอบแล้ว ส่วนที่โจทก์อ้างว่าได้ยกที่นานี้ให้จำเลยและจำเลยประพฤติเนรคุณขอเพิกถอนนั้น การอ้างสิทธิซึ่งได้มาโดยผลของนิติกรรมจะต้องพิจารณาตามกฎหมายว่าด้วยความสมบูรณ์ของนิติกรรมตลอดจนแบบนิติกรรมที่กฎหมายบัญญัติไว้ด้วย ถ้านิติกรรมนั้นสมบูรณ์ตามกฎหมายในเรื่องนิติกรรมนั้นแล้ว ก็เป็นมูลก่อให้เกิดหนี้ที่คู่กรณีอาจอาศัยใช้สิทธิเรียกร้องของตนบังคับตามนิติกรรมนั้นได้ อย่างไรก็ดี นิติกรรมระหว่างโจทก์จำเลยมิใช่การให้โดยเสน่หาตามมาตรา ๕๒๑ แต่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งมีผลตามมาตรา ๘๕๒ อีกทั้งโจทก์ก็มิได้ยกที่พิพาทให้จำเลยโดยปลอดจากภาระใดๆ แต่ยังมีภาระติดพันที่จำเลยต้องให้ข้าวและเงินทำศพด้วย ไม่มีทางที่โจทก์จะอ้างว่าเป็นการให้อันจะขอเพิกถอนเพราะเหตุเนรคุณตามมาตรา ๕๓๕ ได้ ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์