โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์โดยพระพิศาลสุขุมวิทย์  ผู้อำนวยการองค์การจัดซื้อสิ่งของเพื่อบรรเท่าทุกข์และบูรณะความเสียหายของประเทศ  ซึ่งเป็นองค์การขึ้นอยู่กับกระทรวงพาณิชย์เป็นตัวแทน  ได้ทำสัญญาจ้างเหมาทำเคียวเกี่ยวข้าวกับจำเลยๆ  นำเคียวไม่ถูกต้องมาส่ง  โจทก์ขอให้จำเลยแก้ไขให้ถูกต้องตามสัญญา  จำเลยเพิกเฉย  จึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย  ๑๓๑,๐๒๒  บาท
จำเลยปฏิเสธความรับผิด
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า  จำเลยผิดสัญญาจริว  แต่เห็นว่าค่าเสียหาย  ค่าแก้ไขเคียวที่บกพร่อง  ๑๐๒,๓๕๓  บาท  นั้น  ตามสัญญาข้อ  ๗  มุ่งหมายถึงการที่โจทก์เสียค่าจ้างแก้ไขแล้ว  แก่นี่โจทก์ยังไม่ได้ตกลงจ้างผู้ใดแก้ไขเคียวที่บกพร่องนั้นจะให้จำเลยด่วนรับผิดยังไม่ชอบ  คงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน  ๑๙๔๒๙  บาท
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน  ๑๒๕,๓๕๐  บาท
จำเลยฝ่ายเดียวฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า  จำเลยผิดสัญญาและต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ส่วนหนึ่งตามสัญญาข้อที่  ๗  ที่กล่าวว่า  " ฯลฯ  ถ้าผู้รับจ้างผิดนัดสัญญา  ฯลฯ  ผู้จ้างจะเลิกสัญญากับผู้รับจ้างเสียแล้ว  รับเอาเหล็กคืนไปจ้างผู้อื่นทำก็ได้  และต้องเสียค่าจ้างเพื่อขึ้นกว่าราคาของผู้รับจ้างเท่าใด  ผู้รับจ้างต้องออกเงินที่เสียเพื่อขึ้นนั้นให้แก่ผู้จ้างรับจ้างจนครบ"  นั้นเป็นเพียงการกล่าวถึงวิธีการคำนวณค่าเสียหาย  และมุ่งไปในทางที่ยังไม่ลงมือทำของ  หรือทำยังไม่เสร็จ  ฉะนั้นเมื่อโจทก์นำสืบถึงจำนวนค่าเสียหายที่โจทก์จะต้องได้รับไว้ชัดแจ้งแน่นอนแล้ว  โจทก์ก็มีสิทธิจะฟ้องเรียกจากจำเลยได้  หาจำต้องนำเคียวไปจ้างผู้อื่นแก้ไขและจ่ายค่าจ้างไปแล้วเสียก่อน  จึงฟ้องเรียกจำเลยได้  ดังนั้นไม่  คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วในข้อนี้  แต่ที่ยังมิได้ได้หักค่าแก้ไขเคียวที่จำเลยแก้ไขแล้ว  ๑๐๐  เล่ม  เป็นเงิน  ๓๒๕  บาท  ออกนั้น  ยังคลาดเคลื่อนไปบ้าง
จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียง  ๑๒๕๐๒๕-