โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่เช่า ค่าเช่าปีละ ๑๒๐ บาท โดยมิได้เรียกค่าเช่าและค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ และต่อสู้ในข้ออื่น ๆ
ก่อนสืบพยาน โจทก์จำเลยรับกันมีใจความสำคัญข้อหนึ่งว่า "โจทก์จำเลยรับว่า จำเลยได้ใช้บ้านนี้ทำการค้าติดต่อกันเป็นเวลา ๓ ปี และเสียภาษีการค้าด้วย แต่จำเลยเลิกตลอดมา และจำเลยอยู่อาศัยในบ้านนี้มาจนทุกวันนี้ ๗-๘ ปี แล้ว จำเลยเลิกเพราะไม่สามารถทำการค้าและไม่มีคนมาซื้อ " แล้วขอให้ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าหรือไม่ ประเด็นอื่น ๆ ไม่ติดใจและไม่ติดใจสืบพยานต่อไป
ศาลจังหวัดเพ็ชรบุรีเห็นว่า การที่จำเลยเปลี่ยนแปลงเจตนาเดิมมาเป็นที่อยู่อาศัยไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้รู้เห็นยินยอมด้วย จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ ให้ขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า หลังจากจำเลยเลิกทำการค้าแล้ว โจทก์คงยอมให้จำเลยใช้บ้านเป็นที่อยู่อาศัย เป็นการเปลี่ยนเจตนาการเช่ามาเป็นเพื่ออยู่อาศัยนั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ข้อนี้ให้ คงพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วว่า ไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้รู้เห็นยินยอมกับการที่จำเลยเปลี่ยนเจตนาการเช่านั้นเป็นการวินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยอุทธรณ์ในข้อนี้ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ นั้นชอบแล้ว เมื่อจำเลยฎีกาก็ยกปัญหานี้ขึ้นมาอีก ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้มาแล้วเพราะต้องห้าม จึงต้องถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒+ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
คงพิพากษายืน