โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทของโจทก์ โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยกับบริวารออกไปจากห้องพิพาทภายในสามเดือน ศาลพิพากษาตามยอมและมีคำบังคับแล้ว ครบกำหนด โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่ออกจากห้องพิพาท ขอให้จับจำเลยมาขังบังคับให้ปฏิบัติตามคำพิพากษา
จำเลยแถลงว่า ยังไม่ได้ออกไปจากห้องพิพาทจริง โดยอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างบริษัทกรุงธนสถาปัตย์ จำกัด ตัวแทนโจทก์กับจำเลยซึ่งมีความว่า ให้จำเลยอยู่ได้จนกว่าตัวแทนโจทก์จะบอกให้ออกเพื่อรื้อห้องพิพาท แล้วยอมให้จำเลยจองห้องที่สร้างใหม่ จนบัดนี้ตัวแทนโจทก์ยังไม่ได้บอกจำเลยออก
ศาลชั้นต้นฟังคำแถลงแล้วงดสืบพยาน และวินิจฉัยว่าตัวแทนโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยนอกศาล เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๐๖ และเนื่องจากสัญญาดังกล่าว โจทก์จำเลยจึงได้ทำยอมความกันในศาลเมื่อวันที่ ๑๖ เดือนเดียวกันสัญญานั้นย่อมผูกพันโจทก์ การที่จำเลยจะออกจากห้องพิพาทต้องเป็นไปตามสัญญา เมื่อโจทก์ไม่แสดงว่าได้ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว ย่อมขอให้บังคับยังไม่ได้ ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยออกจากห้องพิพาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญายอมความนอกศาลที่จำเลยยกขึ้นอ้างนั้นได้ทำเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๐๖ ก่อนที่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้ ซึ่งทำเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๐๖ และในสัญญาฉบับก็ไม่มีข้อสัญญาว่าให้จำเลยอยู่ในห้องพิพาทต่อไปจนกว่าตัวแทนโจทก์จะบอกให้ออก ถึงหากจะฟังว่าบริษัทกรุงธนสถาปัตย์ จำกัดเป็นตัวแทนโจทก์ ก็ต้องถือว่าสัญญาลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๐๖ ได้ยกเลิกไปโดยสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้แล้ว จำเลยจะยกสัญญายอมความนอกศาลซึ่งทำไว้ก่อน มาเป็นเหตุไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลในคดีนี้ไม่ได้ จำเลยมีหน้าที่ต้องออกไปจากห้องพิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
พิพากษายืน