โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลย กับให้จำเลยคืนเงินจำนวน 596,054.48 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยชอบแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดคืนเงินอากรขาเข้า เงินเพิ่ม และชดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานจำเลยตามใบขนสินค้าขาเข้า 8 ฉบับ เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับอากรขาเข้าและเงินเพิ่ม ให้จำเลยคืนเงิน 596,054.48 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอีกร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินต้นจำนวน 542,969.25 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้คือ จะถือเอาราคาสินค้าที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าซึ่งเป็นราคา ซี.ไอ.เอฟ. เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดหรือถือเอาราคาที่จำเลยประเมินเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดโดยจำเลยอ้างว่าเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยประเมินราคาสินค้าเพิ่มขึ้นจากราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้า โดยใช้หลักเกณฑ์การประเมินตามคำสั่งเฉพาะกรมศุลกากรที่ 14/2524 เรื่องการตรวจสอบและประเมินราคาของขาเข้า สำหรับสินค้าเที่ยวที่ 1และเที่ยวที่ 2 กับคำสั่งทั่วไปกรมศุลกากรที่ 8/2530 เรื่องระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการพิจารณาราคาที่ใช้ในการประเมินอากรและการตรวจสอบใบขนสินค้าขาเข้า สำหรับสินค้าเที่ยวที่ 3 ถึงเที่ยวที่ 8 ซึ่งให้ใช้ราคานำเข้าสูงสุดที่มีผู้นำเข้าภายในระยะ3 เดือน ก่อนที่โจทก์นำเข้าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด สำหรับประเมินอากรที่โจทก์จะต้องชำระเห็นว่า คำสั่งของกรมศุลกากรดังกล่าวเป็นเพียงแนวทางให้เจ้าพนักงานของจำเลยใช้สำหรับการพิจารณาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดโดยการเปรียบเทียบราคากับผู้นำเข้ารายก่อนเท่านั้น นอกจากนี้ตามคำสั่งเฉพาะกรมศุลกากรที่ 14/2524ยังระบุให้ผู้อำนายการกองประเมินอากรใช้ดุลพินิจพิจารณานอกเหนือจากหลักเกณฑ์ในคำสั่งดังกล่าวตามควรแก่กรณีได้ แสดงให้เห็นว่าราคาที่มีผู้นำเข้าสูงสุดในระยะเวลา 3 เดือน ก่อนโจทก์นำเข้าอาจไม่ใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด จึงต้องให้ผู้อำนวยการกองประเมินราคาพิจารณาอีกชั้นหนึ่ง ฉะนั้น การที่เจ้าพนักงานของจำเลยเห็นว่าราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าทั้งแปดฉบับ ต่ำกว่าราคาที่เคยมีผู้นำเข้าก่อนหน้านั้น จึงถือเอาราคาที่มีผู้นำเข้าสูงสุดในระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือน ก่อนโจทก์นำเข้าเป็นราคาที่ใช้ในการประเมินจึงไม่อาจถือเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดได้ปัญหาต่อไปคือ ราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าตามราคาซี.ไอ.เอฟ. ถือได้หรือไม่ว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด เห็นว่าโจทก์นำสืบว่าสินค้าที่โจทก์นำเข้าทั้งสองชนิด คือ เมทิ่ว เอททิ่วคีโตน (methyl ethyl ketone) และ บิวทิ่ว อะครีเลท โมโนเมอร์(butyl acrylate nonomer) เป็นผลิตภัณฑ์อันเกิดจากผลพลอยได้ในการผลิตน้ำมันและราคาน้ำมันในท้องตลาดขึ้นลงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอทำให้ผลิตภัณฑ์พลอยได้จากน้ำมันขึ้นลงตามไปด้วย ฉะนั้น ราคาสูงและต่ำในการนำเข้าแต่ละครั้งจึงอาจถือได้ว่าเป็นราคาสินค้าขาเข้าซึ่งจะพึงขายของประเภทและชนิดเดียวกันได้โดยไม่ขาดทุน ณ เวลาและที่ที่ของนำเข้าโดยไม่มีหักทอนและลดหย่อนราคา อันถือได้ว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดได้ ส่วนที่ราคาสินค้าที่โจทก์สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้า แม้จะมีราคาถูกกว่าราคาที่ผู้อื่นนำเข้า ก็หาได้ปรากฏว่าผู้ขายมีการหักทอนหรือลดหย่อนราคาให้แก่โจทก์แต่อย่างใดไม่เพียงแต่โจทก์นำสืบว่าก่อนการซื้อจะต้องเจรจาต่อรองราคากับผู้ขายก่อนเท่านั้นซึ่งเป็นนโยบายทางการค้าของโจทก์ที่จะซื้อสินค้าราคาต่ำกว่าผู้อื่นมาขาย จึงมิใช่ข้อตำหนิว่าราคาสินค้าของโจทก์มิใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังปรากฏด้วยว่าโจทก์นำเข้าสินค้าเป็นระยะ ๆ ตลอดเวลา ในระยะใกล้เคียงกันก็มีผู้อื่นนำสินค้าชนิดเดียวกันนี้เข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งมีทั้งราคาสูงและต่ำสลับกันไป โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการลดหย่อนราคากันเป็นพิเศษแต่อย่างใด ถือได้ว่าเป็นราคาขึ้นลงตามปกติในท้องตลาด จึงหาใช่ข้อพิรุธสงสัยว่าจะมิใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ราคาที่โจทก์สำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าจึงถือเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดได้ ที่จำเลยประเมินภาษีอากรขาเข้าเพิ่มขึ้นและเรียกเก็บเงินเพิ่มจากโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ จำเลยจึงต้องคืนเงินอากรขาเข้าและเงินเพิ่มพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์
พิพากษายืน.