โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์เป็นเงิน 6,500 บาท โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ครบกำหนดไม่ชำระ ขอให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยที่ 1 ซื้อเชื่อเครื่องชั่งจากโจทก์ โจทก์เอาสัญญากู้ฉบับที่ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อไม่ได้กรอกข้อความและให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ตกลงว่าถ้าไม่ได้ชำระให้โจทก์กรอกเงินตามราคาเครื่องชั่งในสัญญานั้น จำเลยชำระเงินแล้วคงขาด 100 บาท โจทก์โกรธได้พิมพ์ข้อความในสัญญากู้เป็น 6,500 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้เงินต้น 6,500 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันกู้จนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจริง
ที่จำเลยขอให้ศาลฎีการับเอกสารซึ่งแนบท้ายคำแถลงการณ์ที่ยื่นต่อศาลอุทธรณ์เข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกานั้น เอกสารดังกล่าวมิใช่พยานหลักฐานที่จำเลยได้อ้างและยื่นต่อศาลโดยถูกต้องตามกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
หนังสือที่จำเลยที่ 1 ได้ทำรับรองว่าจะชำระเงินให้โจทก์ภายในกำหนด 1 เดือนนั้น เป็นเอกสารที่จำเลยที่ 1 ทำขึ้นฝ่ายเดียวให้แก่โจทก์เป็นหลักฐานการรับสภาพหนี้เงินที่จำเลยที่ 1 กู้ไปจากโจทก์ไม่มีข้อความว่าโจทก์จำเลยตกลงกันใหม่ให้จำเลยที่ 2 พ้นจากการผูกพันในฐานะผู้ค้ำประกันเงินกู้ จำเลยที่ 2 จึงยังผูกพันตามสัญญาค้ำประกัน
พิพากษายืน